ซ่อนรักชายาลับ
ทดลองอ่าน ซ่อนรักชายาลับ เล่ม 3 บทที่ 65-66
ลู่ชิงอิงมองกับข้าวบนโต๊ะอย่างตกตะลึง รู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าหลิ่วเหมียนถังคนเดียวกินทั้งหมดนี่ จากที่นางเห็นเวลาทุกคนในครอบครัวสกุลลู่รวมตัวกันกินข้าว อาหารยังไม่พิถีพิถันเท่าบนโต๊ะหลิ่วเหมียนถังในตอนนี้เลย!
มิหนำซ้ำการจัดวางเช่นนั้น จานกุ้งทอดวางหางกุ้งซ้อนทับกัน ประดับด้วยดอกบัวแกะสลักจากหัวไช้เท้า ข้างใต้หม้อดินเผาหอมหม้อหนึ่งเผาด้วยถ่านไม้ไผ่ชั้นดี ปริมาณเครื่องเคียงมีไม่มาก แต่ไม่ว่าจะมองจานใดต่างดูวิจิตรประณีต สีสันจับคู่ดูดี น้ำมันสีใสกระจ่าง ต่อให้เป็นเหลาสุราที่ดีที่สุดของซีโจวยังจัดแต่งจานเช่นนี้ออกมาไม่ได้เลย!
เฉวียนซื่อเองก็มองจนโง่งม ก่อนเอ่ยอย่างอิจฉา “หลังยายหนูหลิ่วได้รับความไว้วางใจจากท่านผู้เฒ่าให้ดูแลบัญชีสกุลลู่แล้ว บรรยากาศก็แตกต่างออกไปจริงๆ…ไฉนข้ามองแล้วรู้สึกราวกับเข้ามาในเหลาสุราสักแห่งเลย!”
ความหมายโดยนัยคือหลิ่วเหมียนถังใช้เงินของสกุลลู่อย่างสุรุ่ยสุร่าย
หลิ่วเหมียนถังทอดถอนใจในใจเล็กน้อย ความจริงนางก็คาดไม่ถึงว่าหลี่มามาจะทำออกมาประณีตเพียงนี้
ด้วยเหตุผลเดียวกับที่หลิ่วเหมียนถังดีใจที่ยิงธนูได้หลังมือบาดเจ็บไม่อาจยิงธนูได้มานาน ผู้มีความสามารถอย่างหลี่มามาที่ถูกบังคับให้ปลอมตัวเป็นบ่าวหญิงของตระกูลพ่อค้ามาโดยตลอด ก็อดทนจนทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน
นึกถึงสมัยก่อนนางเคยตามฉู่ไท่เฟยเข้าวังหลวงไปเห็นงานเลี้ยงในวัง บวกกับว่าตัวคนมีนิสัยรอบคอบ ไม่ว่าอะไรแปลกใหม่ล้วนไตร่ตรองโดยละเอียด สามารถวิเคราะห์ออกมาด้วยตนเองได้เจ็ดแปดส่วน อาหารที่ทำออกมาพูดได้ว่าโดดเด่นกว่าจวนอ๋องใหญ่ๆ ทุกแห่ง
ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องเหนื่อยปิดบังฐานะอีก หลี่มามาแสดงความสามารถทั้งหมดที่มีออกมาจนสิ้น แค่ผักใบเขียว หัวไช้เท้า เนื้อปลากุ้งทั่วไป แต่พอผ่านฝีมืออันละเอียดลออก็เปรียบเสมือนหญิงสาววัยงามสะพรั่งกลายมาเป็นหญิงงามล่มเมืองในพริบตาเดียว
ความจริงหลิ่วเหมียนถังรู้ว่าอาหารทั้งโต๊ะนี้ของหลี่มามาไม่ได้เปลืองเงินมากเท่าไร แต่หน้าตาโดดเด่นเกินไป ยากจะไม่ให้คนอิจฉาตาร้อน
เห็นเฉวียนซื่อหลุดเอ่ยคำพูดอิจฉาออกมา หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ เอ่ย “ไฉนเลยเจ้าคะ! ข้าเพียงแค่พิถีพิถันเล็กน้อย สั่งให้คนจัดจานเท่านั้น อาหารทั้งหมดบนโต๊ะล้วนรับวัตถุดิบมาจากส่วนกลางทั้งสิ้น เพราะว่าข้าแยกห้องครัวเล็กมาเอง ค่าเตากับฟืนไฟจึงออกเงินด้วยตนเองเช่นกัน หากท่านป้าสะใภ้รองรู้สึกว่าวัตถุดิบที่ข้ารับมาไม่ประหยัดมากพอ เช่นนั้นวันหน้าเงินค่าวัตถุดิบของข้า ข้าออกเองก็ได้”
เฉวียนซื่อได้ยินแล้วสีหน้าโอนอ่อนลงทันใด ยิ้มแย้มเอ่ย “ท่านป้าเองก็มองออกว่าเจ้าไม่ชอบกินอาหารฝีมือห้องครัวใหญ่ หลายวันก่อนเห็นเจ้าผอมลงไปกับตา…หากเจ้าจะเปิดครัวแยก แล้วซื้อวัตถุดิบเองก็ดี คิดอยากกินอะไรจะได้สะดวกสักหน่อย…”
หลิ่วเหมียนถังจะออกเงินซื้อวัตถุดิบเองย่อมดีกว่าอยู่แล้ว เฉวียนซื่อยินดีที่จะได้ประหยัดไปส่วนหนึ่ง
หลิ่วเหมียนถังยิ้มน้อยๆ เอ่ยต่อ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันพรุ่งนี้ข้าจะให้ฟางเซียไปรับบัญชีมาจากเรือนท่านป้าสะใภ้ ดูว่าเงินค่าวัตถุดิบน้ำมันฟืนไฟที่ข้ามอบให้ยังเหลืออีกเท่าไร ถึงเวลาท่านป้าสะใภ้รองมอบให้นางพร้อมสมุดบัญชีก็พอเจ้าค่ะ”
เฉวียนซื่อหน้าเปลี่ยนสี นึกไม่ถึงว่ายายหนูหลิ่วเหมียนถังจะงกเพียงนี้ กระทั่งเงินที่จ่ายไปแล้วยังต้องการเอาคืน
หลิ่วเหมียนถังมองตอบนางอย่างสง่าผ่าเผย นางไม่ได้อยากหน้าเลือดเพียงนี้ แต่มีเงื่อนไขคือจะต้องเป็นคนที่รู้จักรับน้ำใจคน
แต่สายตาของท่านป้าสะใภ้รองตื้นเขินเกินไป ไม่ใช่คนจิตใจดีงาม
ต้องรู้ว่าตอนแรกนางให้เงินท่านป้าสะใภ้รองไปหนึ่งร้อยตำลึง ไม่ต้องพูดว่าวันนี้นางกินเนื้อแพะไปกี่ชั่งเลย ต่อให้กินทุกมื้อก็ยังไม่เป็นปัญหา
แต่อีกฝ่ายมาพูดจากระทบกระทั่งตนเอง ใส่ร้ายอ้อมๆ ว่าตนเองยักยอกเงินบัญชีนอกของสกุลลู่มาใช้ ถ้าอย่างนั้นหลิ่วเหมียนถังก็จะคำนวณต่อหน้านางโดยละเอียดเสียหน่อย
เฉวียนซื่อโมโหจนหน้าตึง ลู่ชิงอิงรีบช่วยแก้ไขสถานการณ์แทนมารดา “ดูญาติผู้พี่พูดเข้า ครอบครัวเดียวกันจะแยกกันกินเป็นสองครอบครัวได้อย่างไร ท่านเปิดห้องครัวของตนเองก็เปิดไปเถอะ แต่วัตถุดิบจะซื้ออะไรแปลกใหม่พิสดารเองอีกหรือ ยังมิสู้เลือกซื้อด้วยกันเหมือนเดิม หากท่านอยากกินอะไรเป็นพิเศษค่อยบอกป้าเฝิงคนซื้อวัตถุดิบก็พอ”
พูดจบยังสะกิดมารดา ให้นางอย่าได้ลืมเป้าหมายที่มาที่นี่ในวันนี้
วันนี้เฉวียนซื่อจิตใจว้าวุ่น ส่งผลให้หงุดหงิดใจ จึงรักษาสีหน้าไว้ไม่อยู่ พอถูกบุตรสาวตักเตือนเข้าถึงได้นึกเป้าหมายที่ตนเองมาออก นางจึงปรับสีหน้าให้โอนอ่อนลงพลางเอ่ย “ญาติผู้น้องเจ้าพูดถูก ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันจะพูดเหมือนเป็นสองครอบครัวได้อย่างไร…เพียงแต่พวกคนแก่ที่ข้างนอก แม้จะติดตามสกุลลู่ของพวกเรามาทั้งชีวิต ท้ายที่สุดก็ไม่ใช่คนสกุลลู่ เจ้าพูดจาไม่เคารพพวกเขา พวกเขาตัดพ้อว่าท่านพ่อไม่ได้สั่งสอนหลานสาวอย่างเจ้าให้ดี วันนี้ข้าได้ยินท่านลุงรองเจ้าบอกว่าเจ้าเอาธนูไปข่มขู่พวกเขา…หากเรื่องนี้กระจายออกไป คนอื่นจะพูดได้ว่าครอบครัวพวกเราอกตัญญู”
หลิ่วเหมียนถังให้ปี้เฉ่าตักแกงมะเขือม่วงตุ๋นเนื้อแพะร้อนกรุ่นให้นางหนึ่งชาม ลิ้มรสชาติแกงสดใหม่ไปอึกหนึ่งก่อน ทั้งยังคีบกุ้งทอดกิน จากนั้นกินแกงอีกหนึ่งอึก รอท้องอุ่นวาบขึ้นมาแล้วถึงได้เอ่ยปาก “เดิมข้าคิดว่าพวกเขาจะไปฟ้องท่านลุงใหญ่ข้า หรือมากที่สุดก็ไปร้องไห้โวยวายกับท่านตาข้าเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะไปฟ้องท่านลุงรองแทน…พวกเขาสนิทกับท่านลุงรองน่าดูนี่!”
เฉวียนซื่อรู้สึกว่าหลิ่วเหมียนถังเป็นเด็กฉลาดหลักแหลมมาก นี่ไม่ใช่ว่ากำลังหลอกถามนางหรอกหรือ ดังนั้นนางถลึงตาเอ่ยทันที “ทั่วทั้งสกุลลู่มีท่านลุงรองเจ้าชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านมากที่สุด คนพวกนี้เลยมาหาเขา มีอะไรสนิทไม่สนิทกัน…แต่ท่านลุงรองเจ้ามองว่าความแค้นพึงละทิ้งไม่พึงผูก เดิมทีพวกเขาสำนึกในบุญคุณของสกุลลู่ หากเจ้าทำตัวไม่สนใจมิตรภาพเช่นนี้ เกรงว่าจะทำลายชื่อเสียงของสกุลลู่ได้”
หลิ่วเหมียนถังได้ฟังก็เข้าใจความหมายของท่านป้าสะใภ้รองแล้ว
ต้องเป็นเพราะเรื่องที่นางบอกว่าจะไปฟ้องที่ว่าการถูกคนเหล่านั้นนำไปเล่าต่อให้ท่านลุงรองฟัง ท่านลุงรองถึงได้รีบร้อนส่งภรรยากับบุตรสาวมาเป็นทัพหน้า ลองหยั่งเชิงหลิ่วเหมียนถังดูก่อน
หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าวันนี้คำพูดที่พวกคนเก่าแก่เอ่ยทิ้งท้ายไว้ล้วนแฝงเรื่องราวอยู่ ยามที่สำนักคุ้มภัยเผชิญปัญหา มือไม้ของท่านลุงรองไม่นับว่าสะอาดสะอ้าน
ดังนั้นทุกวันนี้ในขณะที่ทั่วทั้งสกุลลู่เต็มไปด้วยความอัตคัด จึงมีแต่บ้านรองที่ใช้ชีวิตอู้ฟู่ แต่ความร่ำรวยของครอบครัวพวกเขากลับพูดว่ามาจากสินเจ้าสาวของเฉวียนซื่อ ไม่ต้องช่วยชดเชยให้ส่วนกลางอย่างสง่าผ่าเผย…
หากท่านตารู้เข้าไม่รู้ว่าจะโมโหมากเพียงใด…ความจริงท่านลุงใหญ่เองก็น่าจะรู้เรื่องแต่แรก เพียงแต่ติดที่ความเป็นพี่น้องจึงช่วยปิดบังให้เขาเท่านั้น
มิน่าถึงมีคนพูดว่าขุนนางสุจริตเองก็ยากจะตัดสินถูกผิดเรื่องในบ้าน เพราะคำว่า ‘สายสัมพันธ์’ หนักหนาเกินไป ต่อให้เวลาอยู่ข้างนอกจะฆ่าฟันเลือดเย็น แต่พอกลับมาที่บ้านก็ต้องพะวงหน้าพะวงหลัง ไม่อาจจัดการขั้นเด็ดขาดได้
แต่ตอนนี้ท่านลุงรองขวัญกล้าเกินไป ซ้ำยังไม่รู้ตัวว่าทำผิด หากนางยอมให้เขาเหมือนท่านลุงใหญ่ ไม่ช้าก็เร็วจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ของสกุลลู่ได้
คิดมาถึงตรงนี้หลิ่วเหมียนถังไม่ได้รีบร้อนพูดตรงๆ เพียงเอ่ยกับเฉวียนซื่อว่า “ท่านไปบอกกับท่านลุงรองว่าไม่ต้องช่วยพูดให้พวกสุนัขป่าตาขาวแล้ว สำนักคุ้มภัยเป็นเลือดเนื้อทั้งชีวิตของท่านตาข้า ไม่อาจปล่อยให้พวกมุสิกไร้มโนธรรมกัดกินไปจนหมด เมื่อก่อนที่เคยกินเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็จงคายออกมาให้ข้าทั้งหมด ข้าอาจจะอารมณ์ดียอมลืมตาข้างหลับตาข้าง แต่หากตั้งใจจะละโมบกินจนพุงกาง…ถึงเวลานั้นอยากมาตีสนิทเป็นท่านลุงท่านปู่อะไรข้า…ข้าดูที่เหตุผล ไม่ดูที่บุคคล!”
หลิ่วเหมียนถังเองก็พูดจาแฝงความนัย ระหว่างที่พูดบนใบหน้าก็ประดับรอยยิ้มเย็นมองตรงไปยังเฉวียนซื่อ
เฉวียนซื่อเสมือนถูกงูเพ่งเล็ง ถึงกับถูกบรรยากาศของนางกดดันจนไม่กล้าขยับตัว
สุดท้ายยังไม่ทันได้กินข้าวสักคำก็รีบพาบุตรสาวลู่ชิงอิงกลับไปแล้ว
หลิ่วเหมียนถังไม่รู้เหมือนกันว่าท่านลุงรองจะเข้าใจความคิดนางหรือไม่ แต่ว่าตักเตือนอ้อมๆ เช่นนี้ไปรอบหนึ่ง เขาจะได้รู้จักสงบเสงี่ยมลงบ้าง
วันรุ่งขึ้นหลิ่วเหมียนถังตื่นค่อนข้างสาย หลังนอนอยู่ในผ้าห่มอย่างเบื่อหน่ายสักพักก็ตัดสินใจจะไปเดินดูที่ท่าเรือเสียหน่อย
ช่วงนี้นางซื้อเรือลำใหม่มาสองลำ วันนี้สามารถลองลงน้ำได้พอดี นางจะต้องไปตัดผ้าแพรแดงที่ผูกไว้กับสมอเรือด้วยตนเอง ผ่านพิธีการก่อนลงน้ำเสียหน่อย
ดังนั้นหลังลุกจากเตียงหลิ่วเหมียนถังรำหมัดในลานเรือนตนเองก่อนหนึ่งรอบ วิชาหมัดชุดนี้เป็นท่าคว้าจับที่สมัยก่อนหลิ่วเหมียนถังเคยดูชุยสิงโจวฝึกฝนอยู่ที่ลานบ้านบนถนนสายเหนือ
นางเห็นบ่อยเข้าก็แอบจดจำท่าทางไว้ในใจ เพียงแต่วิชาหมัดที่ดูเรียบง่าย รอตนเองรำออกมาเองจริงๆ ถึงได้รู้ว่าหมัดนี้เปลืองกำลังอย่างมาก หากใช้วิชาออกมาถูกต้องเพียงไม่นานก็จะปวดเมื่อยมือเท้า เหงื่อออกท่วมตัว
ดังนั้นหลังหลิ่วเหมียนถังล้างหน้ากินข้าวเสร็จแล้วขึ้นไปบนเกี้ยว นางก็นั่งหมดแรงอยู่ในเกี้ยว รอถึงที่หมายแล้วลงมาก็มีสภาพอ่อนล้าต้องให้คนช่วยประคอง
สภาพบอบบางน่าทะนุถนอมเช่นนี้ถูกคนที่เพิ่งลงมาจากเรือโดยสารเห็นเข้าพอดี
สุยอ๋องคลี่ยิ้มลึกซึ้ง รู้สึกว่าตนเองช่างมีวาสนากับลู่เหวินผู้นี้ ไม่อย่างนั้นเขาเพิ่งมาถึงซีโจวจะเจอกับนางทันทีได้อย่างไร
* ลมข้างหมอน หมายถึงคำพูดที่ภรรยาหรือหญิงอันเป็นที่รักโน้มน้าวสามีของตนที่ข้างหมอน
* ถลกหนังเสือมาทำเป็นธง หมายถึงแอบอ้างบารมีผู้อื่นมาปกป้องตนเอง ข่มขู่ผู้อื่น
** จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร
*** ข้าวสารหนึ่งกระบวยสร้างบุญคุณ ข้าวสารหนึ่งกระสอบสร้างความแค้น เป็นสำนวนจีน หมายถึงในเวลาเดือดร้อนหากให้ความช่วยเหลืออีกฝ่ายเล็กน้อย เขาจะจดจำเป็นบุญคุณ แต่หากทำต่อไปเรื่อยๆ จนเลิกไปในสักวันด้วยเหตุผลบางอย่างเขาจะกลายมาเป็นโกรธแค้นแทน เพราะได้รับมาจนเคยชิน เห็นเป็นเรื่องปกติแล้ว
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ม.ค. 66 เวลา 12.00 น.