บทที่ 67
คิดมาถึงตรงนี้สุยอ๋องก็ก้าวยาวๆ ลงจากเรือ เดินไปถึงตรงหน้าหลิ่วเหมียนถังที่กำลังถูกฟางเซียช่วยประคองเดินช้าๆ แล้วยิ้มทักทาย “พวกเรามีวาสนากันน่าดู ได้มาเจอกันที่นี่ด้วย”
แต่หลิ่วเหมียนถังกลับเงยหน้ามองสำรวจบุรุษในชุดหรูหราตรงหน้าอย่างสงสัย เห็นว่าเขามีร่างกายกำยำสูงใหญ่ แม้หน้าตาจะไม่สำอาง ทว่ามีกลิ่นอายสูงศักดิ์ออกมา เอาเป็นว่าเป็นบุรุษที่บึกบึนผู้หนึ่ง
นางเหมือนจะไม่เคยเห็นเขามาก่อน ดังนั้นจึงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ท่าน…เป็นใครกัน”
ไม่แปลกที่หลิ่วเหมียนถังจะจำไม่ได้ สมัยก่อนสุยอ๋องหลิวเพ่ยแต่งตัวแบบภิกษุไว้ผมยาว ทั้งยังเต็มไปด้วยหนวดเครา
แต่ตอนนี้เขากลับคืนสู่ทางโลกแล้ว เกล้าผมสวมกวนทอง มีเพียงหนวดบนริมฝีปาก ตัดแต่งสะอาดสะอ้าน เพียงมองก็มีบุคลิกเฉกเช่นท่านอ๋องสูงศักดิ์ จะให้คนจดจำได้ได้อย่างไร
สุยอ๋องเห็นนางจำตนเองไม่ได้ รอยยิ้มยิ่งล้ำลึกกว่าเดิม “ก่อนหน้านี้ข้าเคยซื้อเครื่องเคลือบดินเผาที่ร้านเจ้า เจ้ายังต้อนรับข้าด้วยตนเอง เหตุใดจึงลืมแล้วเล่า”
หลิ่วเหมียนถังได้ยิน ที่แท้ก็เป็นลูกค้าที่ร้านเครื่องเคลือบดินเผาที่ตำบลหลิงเฉวียน เพียงแต่ลูกค้าที่ดูสูงศักดิ์เพียงนี้นางจำไม่ได้เลยได้อย่างไร
ยามนั้นนางเพียงยิ้มน้อยๆ ตอบรับ ก่อนหันร่างกลับเตรียมไปขึ้นเรือ
แต่สุยอ๋องไม่ยอมให้นางไป ยังคงขวางนางไว้พร้อมเอ่ย “ข้ามาซีโจวเป็นครั้งแรก ไม่คุ้นกับสถานที่และผู้คน บังเอิญได้เจอเจ้าพอดี มิสู้ตามเจ้าไปเที่ยวทั่วซีโจวด้วยกัน”
หลิ่วเหมียนถังปรายตามองเขาอีกครั้ง รู้สึกว่าความหน้าด้านหน้าทนเช่นนี้เหมือนนางจะเคยรู้จักมาก่อน
ขณะนั้นเองหลี่มามาเอ่ยเตือนขึ้นมาจากด้านหลังหลิ่วเหมียนถังเงียบๆ “คุณหนู เขาคือสุยอ๋องเจ้าค่ะ…”
หลี่มามาย่อมเคยเห็นสุยอ๋องสมัยวัยหนุ่ม ตอนนั้นเขาก็ตัวสูงใหญ่แล้ว แค่ว่าไม่ได้ไว้หนวด ทว่าสุยอ๋องกลับจำไม่ได้ว่าหลี่มามาเป็นบ่าวรับใช้ของจวนไหวหยางอ๋อง
เห็นเพียงหลังบ่าวหญิงผู้นั้นกระซิบบางอย่าง แววตาของหลิ่วเหมียนถังก็เปลี่ยนเป็นเฉียบคม มองเขาอย่างลึกซึ้งอีกครั้งก่อนเอ่ย “ใต้เท้าขวางหญิงสาวกลางถนน ให้คอยช่วยนำทางตนเองเช่นนี้เสมอหรือ”
สุยอ๋องยิ้มน้อยๆ “แล้วแต่คน ไม่ใช่ว่าใครก็คู่ควรจะอยู่เคียงข้างข้า…”
“ท่านพ่อบุญธรรม พวกเขาบอกว่ารถม้าเพลาหักกลางทาง ต้องรอสักพักถึงส่งคันใหม่มาได้…” ซุนอวิ๋นเหนียงเพิ่งลงมาจากเรือ เมื่อครู่นี้ได้ยินองครักษ์บอกจึงรีบมาแจ้งกับสุยอ๋อง
สุยอ๋องแผ่นหลังกำยำล่ำสัน บดบังหลิ่วเหมียนถังที่อยู่ตรงหน้าเขาพอดี
จนกระทั่งซุนอวิ๋นเหนียงเดินเข้ามาใกล้ถึงได้เห็นหลิ่วเหมียนถังยืนอยู่ตรงนั้น
ซุนอวิ๋นเหนียงคาดไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกับหลิ่วเหมียนถังที่นี่ นางพูดอะไรไม่ออกอีกเสมือนถูกคนบีบคอเข้า
ขณะที่หลิ่วเหมียนถังมองซุนอวิ๋นเหนียงอย่างลึกซึ้งไปหนหนึ่ง ท่านลุงใหญ่บอกว่านางเคยอยู่ที่ภูเขาหยั่งซานมานาน ส่วนซุนอวิ๋นเหนียงผู้นี้คล้ายจะเป็นคนที่ปลาบปลื้มคุณชายจื่ออวี๋เช่นกัน สุดท้ายดูเหมือนว่าจะอยู่กับเขาอย่างไม่มีความสุขเช่นกัน
มิหนำซ้ำ…นางคิดถึงช่วงเวลาที่ตำบลหลิงเฉวียน ซุนอวิ๋นเหนียงเคยจ้างคนอ้วนมาปลอมตัวเป็นชุยจิ่ว ไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ!
หลิ่วเหมียนถังคลำข้อมือตนเองอย่างอดไม่ได้ ตอนนั้นนางถูกคนตัดเส้นเอ็นมือเท้าแล้วโยนทิ้งลงแม่น้ำ จะเป็นฝีมือของซุนอวิ๋นเหนียงผู้นี้หรือไม่
ครั้งสุดท้ายที่ซุนอวิ๋นเหนียงเจอหลิ่วเหมียนถังก็คือที่ตำบลหลิงเฉวียน ซ้ำยังถูกนางตบตีจนหน้าบวม ตอนนี้พอได้เห็นนางถูมือลูบหมัดก็ตกใจจนกระถดถอยหลังทันที
สุยอ๋องเหลือบมองซุนอวิ๋นเหนียงไปทีหนึ่ง นางหลบไปอย่างรู้กาลเทศะ ไม่รบกวนการพูดคุยของบิดาบุญธรรมอีก
เขาถึงได้ยิ้มเอ่ยต่อ “ดูเหมือนเจ้าจะมีธุระ ไว้วันหน้าข้าจะไปหาเจ้าอีกที…” พูดจบไม่ได้ถามว่าหลิ่วเหมียนถังพักอยู่ที่ใดก็ยิ้มแย้มหันหลังกลับจากไปแล้ว
หลิ่วเหมียนถังรู้ว่าจากความสามารถของสุยอ๋อง การจะสืบข่าวหาว่าตนเองพักอยู่ที่ใดเป็นเรื่องง่ายดายมาก เพียงแต่นางคิดไม่ตกว่าเหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่ ทั้งไฉนถึงเอาแต่ตามวอแวนางไม่เลิกรา
สุยอ๋องไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาหลิ่วเหมียนถังจริงๆ ครั้งนี้เขากำลังเดินทางกลับจากเมืองหลวง เดิมตั้งใจว่าจะมาหายอดฝีมือคนหนึ่งที่ซีโจว
คนผู้นี้สมัยก่อนเป็นทั่นฮวาในการสอบเตี้ยนซื่อ* ความรู้โดดเด่นกว่าผู้อื่น น่าเสียดายที่พัวพันกับคดีเล่นพรรคเล่นพวก ดังนั้นจึงถูกลดขั้นแล้วส่งไปอยู่นอกเมืองหลวง เขาเคยรับตำแหน่งว่างๆ ที่เจินโจวอยู่สักพัก เมื่อเร็วๆ นี้กลับมาทำงานอีกครั้ง ทว่าเป็นเพียงผู้ช่วยนายอำเภอตัวเล็กๆ ของซีโจว
ข้างกายสุยอ๋องมีพวกชอบประจบประแจงไม่น้อย แต่คนมีความรู้ความสามารถทำงานได้ดีกลับมีไม่มาก หลี่กวงไฉผู้นั้นมากความสามารถ แต่สมัยก่อนใกล้ชิดสนิทสนมกับชุยสิงโจว น่าเสียดายที่เขาฝากฝังตัวไว้กับเจ้านายผิดคน ทุกวันนี้ชุยสิงโจวกำลังมีอำนาจ แต่เขากลับถูกลดขั้นกลายมาเป็นผู้ช่วยนายอำเภอของซีโจว คิดว่าในใจจะต้องไม่สบอารมณ์อย่างแน่นอน
สุยอ๋องชอบแย่งคน ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรีก็ตาม หากเป็นบุรุษดูที่ความสามารถ สตรีดูที่รูปโฉม
หลี่กวงไฉรูปโฉมธรรมดาแต่มีความสามารถ ขณะที่สุยอ๋องเดินทางกลับจากเมืองหลวง เลยตัดสินใจแวะซื้อตัวพวกคนมีความสามารถที่ถูกไหวหยางอ๋องละเลยไปเสียเลย
แต่เขานึกไม่ถึงว่าลงจากเรือมาจะได้เจอหลิ่วเหมียนถังทันที เรียกได้ว่าเป็นผลพลอยได้ไม่คาดฝัน
สำหรับหลิ่วเหมียนถัง สุยอ๋องเองก็บอกไม่ถูกว่าต้องตาที่ความสามารถหรือรูปโฉมของนาง ในเมื่อไม่ว่าใคร่ครวญถึงทั้งสองข้อนั้นอย่างไร นางก็ล้วนไม่ธรรมดา
ในขณะนั้นสุยอ๋องไม่ได้รีบร้อนจะไปหาหลี่กวงไฉอีก เพียงเข้าพักในเรือนตากอากาศของซีโจวที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเตรียมการให้ จากนั้นส่งคนไปสืบข่าวเสียหน่อยว่าสตรีที่ติดตามกองทัพไปซีเป่ยมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ตอนนั้นคนที่สุยอ๋องส่งไปจับตัวหลิ่วเหมียนถังต่างกลายเป็นอาหารของสุนัขป่าแห่งซีเป่ยกันหมด
แม้เขาอยากจะส่งคนไปอีก แต่สามีของหลิ่วเหมียนถังอยู่ในกองทัพไหวหยางอ๋อง เขาไม่สะดวกแหวกหญ้าให้งูตื่น สะเทือนไปถึงเจ้าชุยสิงโจว ดังนั้นเลยได้แต่ระงับแผนการเอาไว้
บัดนี้ได้มาเจออีกครั้ง ความต้องการของสุยอ๋องถูกกระตุ้นขึ้นมาเต็มที่
ขณะที่ซุนอวิ๋นเหนียงรู้เรื่องของครอบครัวสกุลลู่จึงเล่าให้บิดาบุญธรรมฟัง “ท่านตาของหลิ่วเหมียนถังอยู่ที่ซีโจว ไม่แน่นางอาจมาพึ่งพาสกุลลู่ ข้าสนิทกับท่านลุงรองลู่มู่ของนาง ประเดี๋ยวข้าไปหยั่งเชิงจากเขาได้”
สุยอ๋องจิบน้ำชากลิ่นหอมที่อนุคนงามส่งให้ ลิ้มรสชาติสักพักจึงปรายตาถาม “เจ้ากระตือรือร้นดีนี่ เหตุใดกัน แต่งงานกับจื่ออวี๋ไม่สำเร็จเลยอยากสานสัมพันธ์พี่น้องกับหลิ่วเหมียนถังใหม่หรือ”
ซุนอวิ๋นเหนียงโดนตอกใส่จนสีหน้าตึงเครียด
หากบิดาและพวกคนเก่าแก่ของตำหนักบูรพาไม่คอยขัดขวาง นางก็ได้เป็นภรรยาของจื่ออวี๋ไปนานแล้ว จะปล่อยให้เขาไปแต่งกับบุตรสาวตัวอ้วนของผู้บัญชาการสือได้อย่างไร เมื่อคิดถึงภาพตอนเข้าเมืองหลวงไปเห็นจื่ออวี๋กับคุณหนูสือเป็นคู่สามีภรรยาให้ความเคารพแก่กัน ในใจซุนอวิ๋นเหนียงก็มีแต่ความแค้นเคือง!
คุณหนูสือผู้นั้นเพิ่งแต่งให้จื่ออวี๋ไม่ถึงปี ทว่ากลับตั้งครรภ์แล้ว…
แต่ซุนอวิ๋นเหนียงรู้ว่าจะเป็นนางก็ดีหรือคุณหนูสือผู้นั้นก็ช่าง ต่างไม่ใช่ตัวจริงที่อยู่ในใจของจื่ออวี๋ ทันทีที่จื่ออวี๋ทำการใหญ่สำเร็จ เกรงว่าจะรับตัวหลิ่วเหมียนถังเข้าไปในตำหนักหงส์ทันที
นึกถึงว่านางตั้งใจพูดต่อหน้าจื่ออวี๋ว่าแม้แต่คุณหนูสือยังตั้งครรภ์แล้ว เกรงว่าหลิ่วเหมียนถังเองก็คลอดบุตรให้พ่อค้าผู้นั้นแล้วเช่นกัน จื่ออวี๋กลับเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “หากวันหน้านางเต็มใจ สามารถรับตัวบุตรมาอยู่เมืองหลวงได้เหมือนกัน”
ความหมายโดยนัยคือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาล้วนไม่มีทางรังเกียจหลิ่วเหมียนถัง
ตอนนี้พรรคพวกตำหนักบูรพากำลังใช้งานสกุลสือ นางไม่อาจทำอะไรคุณหนูสือผู้นั้นได้ แต่อนาคตพอประสบความสำเร็จ หลิ่วเหมียนถังอย่าได้คิดมามีส่วนแบ่งด้วยเลย!
มีเพียงหลิ่วเหมียนถังชื่อเสียงเสียหายโดยสมบูรณ์ ถึงจะทำให้จื่ออวี๋รับตัวกลับมาไม่ได้!
ซุนอวิ๋นเหนียงกระจ่างดีว่าสายตาที่สุยอ๋องมองหลิ่วเหมียนถังไม่ปกติ หากสุยอ๋องทำตัวตามนิสัยจะต้องคว้าสตรีที่ต้องตามาไว้ในมือให้ได้ รอหลิ่วเหมียนถังกลายเป็นของเล่นของสุยอ๋องเมื่อไร ดูว่าจื่ออวี๋จะยังรับของเหลือต่อจากท่านปู่เขาอย่างไร
ซ้ำนิสัยของหลิ่วเหมียนถังยังแข็งกร้าวเพียงนั้น เรื่องที่นางไม่ยินยอมไม่ว่าใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้
ซุนอวิ๋นเหนียงนึกถึงสภาพของหยกงามที่แตกสลายแล้ว ในใจก็รู้สึกสาแก่ใจขึ้นมาแปลกๆ
ดังนั้นสุยอ๋องคิดอยากรู้สถานการณ์ในตอนนี้ของหลิ่วเหมียนถัง นางย่อมกระตือรือร้นอย่างมาก
ข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ของสกุลลู่เองก็ได้รับมาอย่างรวดเร็ว
ซุนอวิ๋นเหนียงสั่งให้ลูกน้องคนสนิทไปหาลู่มู่พูดคุยรำลึกความหลัง หลังมอบอะไรดีๆ ให้เขามากมายควบคู่หลอกลวงและเกลี้ยกล่อม บอกว่าเห็นหลิ่วเหมียนถังติดตามบุรุษผู้หนึ่งอยู่ในกองทัพซีเป่ย ท้ายที่สุดก็ทำให้ลู่มู่หลุดปากเผยเบื้องหลังออกมาได้
ที่แท้หลิ่วเหมียนถังรู้แล้วว่าสามีที่นางเคยอยู่ด้วยเป็นคนสารเลวสวมรอย หลังถูกบุรุษเช่นนี้หลอกร่วมหลับนอนด้วยสองปีโดยไร้สินสอดไร้แม่สื่อจึงแตกหักกับสารเลวผู้นั้น ตามท่านลุงใหญ่ของนางกลับมาที่สกุลลู่
แต่ว่าเรื่องถูกคนหลอกแต่งงานทำลายชื่อเสียงเกินไป ดังนั้นคนในสกุลลู่จึงปิดบังไว้มาโดยตลอด บอกเพียงว่าหลิ่วเหมียนถังป่วยหนัก เพิ่งพักฟื้นกลับมา
ขณะที่สมองของหลิ่วเหมียนถังก็ยังสับสน ยังไม่ได้ฟื้นความทรงจำกลับมา
สุยอ๋องได้ยินแล้วเลิกคิ้วเอ่ย “เช่นนี้ทุกวันนี้นางยังไม่แต่งงาน…อายุเองก็ไม่น้อยแล้ว คนในบ้านนางไม่ร้อนใจหรือ”
ซุนอวิ๋นเหนียงก้มหน้าหลุบตาลงพลางเอ่ย “ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ เป็นคนที่เสียความบริสุทธิ์ไปแล้วจะแต่งก็ได้แต่ฝืนมโนธรรมหลอกบ้านสามี…แต่ว่ารูปโฉมเช่นนั้นหากนำมาปรนนิบัติข้างกาย กลับไม่เป็นปัญหาต่อความสนุกของบุรุษ…”
สุยอ๋องเปล่งเสียงหัวเราะออกมา เอ่ยวาจาถากถาง “คำพูดจาราวกับแม่เล้าในตรอก…หลิ่วเหมียนถังมีพี่น้องต่างสกุลอย่างเจ้าช่างเป็นวาสนาสามชาติสามภพจริงๆ เจ้ากำลังยุแยงให้ข้าเป็นคนเลวข่มเหงคนดีๆ หรือ”
ซุนอวิ๋นเหนียงตกใจ รีบเอ่ยเสียงเบา “ลูกมิกล้า! ท่านพ่อบุญธรรมใช่คนประเภทนั้นที่ใดกัน! ท่านก็แค่รู้เบื้องหลังเลวร้ายของหลิ่วเหมียนถัง ต้องการนำตัวนางมาไต่สวนเท่านั้น…”
สุยอ๋องผงกศีรษะเอ่ย “ในเมื่อจะไต่สวน ทำให้สง่าผ่าเผยสักหน่อยจะดีกว่า”
ผลปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นสุยอ๋องก็หาตัวแม่สื่อมา ก่อนเขียนเทียบเชิญพร้อมแนบวันเดือนปีเกิดของตนเองแล้วสั่งให้พ่อบ้านเตรียมสินสอดห้าคันรถ บอกให้แม่สื่อนำไปสู่ขอที่บ้านสกุลลู่
ซุนอวิ๋นเหนียงมองสินสอดเหล่านั้น เมื่อเห็นว่าจำนวนเป็นไปตามธรรมเนียมของอนุสูงศักดิ์ก็อดตกใจไม่ได้
ชายาเอกของสุยอ๋องเป็นญาติผู้น้องของเขา หลานสาวแท้ๆ ของไทฮองไทเฮา เรียกว่าเพิ่มความแน่นแฟ้นในหมู่เครือญาติ ทว่าชายาเอกผู้นั้นเป็นคนอ่อนแอ ควบคุมสุยอ๋องไม่ได้
โชคดีที่สุยอ๋องไว้หน้าให้ครอบครัวท่านอาอยู่บ้าง ไม่เคยรับอนุอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีอนุห้องข้างมากมายนับไม่ถ้วน เปลี่ยนทุกวันเว้นวัน แต่ไม่ได้มีบุตรกับอนุคนใด
ทว่าท้องของชายาเอกผู้นั้นก็ไร้ความสามารถ คลอดบุตรสาวออกมาสามคนติดกัน พออุตส่าห์คลอดบุตรชายได้สักคนก็มีสภาพอ่อนแอขี้โรค ทุกวันนี้เพิ่งจะอายุเจ็ดขวบ
หากหลิ่วเหมียนถังยอมรับหนังสือสู่ขอของสุยอ๋อง อีกฝ่ายจะเป็นอนุสูงศักดิ์ที่ผ่านพิธีการ สามารถคลอดบุตรให้สุยอ๋องได้!
คนที่ถูกบุรุษผู้หนึ่งหลอกร่วมหลับนอนมาสองปีอย่างนางมีสิทธิ์อันใดถึงสามารถก้าวกระโดดมาเป็นชายารองของสุยอ๋องเช่นนี้ได้
แต่สุยอ๋องคิดรับหลิ่วเหมียนถังเป็นอนุจริงๆ ลูกแมวน้อยที่มือเท้าพิการตัวหนึ่งจะร้ายกาจได้สักเท่าไร
นางถูกคนหลอกให้เสียกาย คิดว่าคงรู้ว่าตนเองหาคู่ครองดีๆ อะไรไม่ได้ รอสินสอดถูกส่งไปถึง พวกสกุลลู่ล้วนต้องซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล
แต่งกับโจรหญิงที่ซาบซึ้งในบุญคุณตน…สุยอ๋องพลันรู้สึกว่าวันเวลาน่าเบื่อหน่ายคล้ายมีเป้าหมายขึ้นมา
ในเมื่อรับอนุอย่างเป็นทางการ ขนบประเพณีที่ควรมีจึงไม่อาจตกหล่นสักอย่าง ดังนั้นตอนที่รถม้าสินสอดห้าคันของสุยอ๋องไปจอดขวางบ้านสกุลลู่ ถนนทั้งสายต่างมีคนมามุงดู
บ่าวเฝ้าประตูเคยเจออะไรเช่นนี้มาก่อนที่ใดกัน แม้ก่อนหน้านี้จะเคยรับรองท่านโหวผู้หนึ่ง แต่อ๋องราชสกุลเช่นนี้ไม่เคยรับรองมาก่อนนี่นา!
รอพ่อบ้านจวนอ๋องที่ตามแม่สื่อมาประกาศถึงเจตนาที่มา บ่าวชายเสมือนกระต่ายที่ถูกสุนัขไล่ พุ่งเข้าไปในห้องท่านผู้เฒ่าพร้อมหอบหายใจเอ่ย “ท่าน…ท่านผู้เฒ่า มีท่านอ๋องมา…มาสู่ขอขอรับ!”
ลู่อู่เผยอเปลือกตาขึ้น รอยยับย่นบนใบหน้ามากองอยู่ด้วยกัน สงสัยว่าตนฟังผิดไป
จวบจนบ่าวเฝ้าประตูพูดออกมาอีกรอบ เขาถึงได้ลุกพรวดขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปต้อนรับตัวแทนของจวนอ๋อง
หญิงสาวในบ้านมีมากมายเพียงนี้ ท่านอ๋องที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดท่านนี้ต้องการสู่ขอใครกัน!
ลู่อู่จำต้องไปเจอเจ้าตัวถึงถามให้กระจ่างได้!
รอไปถึงหน้าประตูใหญ่ ตอนที่ต้อนรับพ่อบ้านของจวนอ๋องกับแม่สื่อที่มาสู่ขอ แม่สื่อผู้นั้นเปรมปรีดิ์จนใบหน้าราวกับมีดอกเบญจมาศบานสามดอก แสดงความยินดีกับสกุลลู่ที่มีการแต่งงานที่ดีเพียงนี้
ลู่อู่มองบุตรชายสองคนด้านข้างอย่างสงสัย พวกเขาดูเหมือนสับสนงงงวยเช่นเดียวกัน เพียงแต่ตอนที่แม่สื่อพูดว่าเป็นสุยอ๋องพระอนุชาของฮ่องเต้องค์ก่อนมาสู่ขอ เจ้ารองเผยสีหน้าปีติยินดี ถูมืออย่างดีใจ ส่วนสีหน้าของเจ้าใหญ่กลับเปลี่ยนไปคล้ายหวาดกลัวเล็กๆ
ตอนที่ลู่อู่ถามต่อว่าสุยอ๋องผู้นั้นตั้งใจสู่ขอคุณหนูคนใดของสกุลลู่ แม่สื่อยิ้มแย้มเอ่ย “หลานสาวแท้ๆ ของท่านผู้เฒ่า คุณหนูหลิ่วเหมียนถังอย่างไรเล่า! ก่อนหน้านี้สุยอ๋องเจอคุณหนูหลิ่วที่ท่าเรือ เรียกได้ว่าแลเห็นครั้งแรกก็ตกหลุมรัก! หลังสืบข่าวรู้ว่าเป็นคุณหนูของตระกูลท่านก็ตระเตรียมรถม้าสินสอดห้าคันเรียบร้อยทันที สุยอ๋องอายุกำลังดี สามสิบห้าปีเป็นช่วงที่บุรุษแข็งแรงที่สุด จวนของเขาเองก็สงบสุข เหนือขึ้นไปมีชายาเอกอยู่คนเดียว นิสัยอ่อนโยนอ่อนหวาน ช่างเอาใจใส่เป็นที่สุด ชายาเอกคลอดบุตรชายออกมาแล้ว คุณหนูของพวกท่านแต่งเข้าไปจะมีฐานะเป็นอนุสูงศักดิ์ สามารถตั้งครรภ์คลอดบุตรได้อย่างสบายใจ สามารถมีบุตรชายมาอยู่เคียงข้าง! รอท่านอ๋องขอบรรดาศักดิ์จากฝ่าบาท นั่นก็เรียกว่าเป็นชายารองตัวจริงเชียวนะ…”
ตอนที่ลู่อู่ได้ยินว่าสุยอ๋องต้องการรับตัวหลิ่วเหมียนถัง สีหน้าก็ดำทะมึนลงแล้ว
ไม่รอให้แม่สื่อพูดจาแต่งเติมดูดีจนจบ เขาก็เอ่ย “หลานสาวผู้นั้นของข้าเป็นยายหนูหัวรั้นคนหนึ่ง! ไม่เหมาะจะเข้าไปปรนนิบัติผู้สูงศักดิ์ในจวนอ๋อง ข้าผู้เฒ่าขอขอบคุณความเมตตาของสุยอ๋อง แต่เชิญทุกท่านนำหนังสือหมั้นหมายกับสินสอดกลับไปเถอะ!”
แม่สื่อผู้นั้นคาดไม่ถึงว่าท่านผู้เฒ่าอย่างลู่อู่จะปฏิเสธการแต่งงานที่สูงศักดิ์ระดับนี้อย่างไม่ลังเลทันที
สีหน้าของพ่อบ้านซึ่งมาจัดการแทนสุยอ๋องเองก็ดูไม่ค่อยดี เอ่ยอย่างหยิ่งยโสอยู่ด้านข้าง “ท่านผู้เฒ่าลู่สะเพร่าไปหรือไม่ เรื่องนี้ท่านจะต้องตรองดูให้ดีๆ สักหน่อย หากพลาดครั้งนี้ไปจะทำให้หลานสาวท่านเสียเวลาชีวิตที่เหลือได้!”
ลู่มู่เองก็ร้อนใจ เขารู้ว่าสุยอ๋องผู้นี้สูงศักดิ์กว่าเจิ้นหนานโหวมากนัก ตอนที่เจิ้นหนานโหวผู้นั้นได้ยินว่าหลิ่วเหมียนถังจากไปก็มีท่าทีใจลอย ไม่ยกเรื่องรับอนุขึ้นมาพูดก็รีบกลับไปแล้ว
ส่วนสกุลซูหลังกำหนดวันหมั้นหมายกับครอบครัวเขาเสร็จก็เดินทางกลับไปแล้วเช่นกัน ตอนนั้นเขายังแอบเสียดาย รู้สึกว่าไม่อาจช่วยหลิ่วเหมียนถังคว้าการแต่งงานสูงศักดิ์มาได้สำเร็จ
นึกไม่ถึงว่ายายหนูหลิ่วเหมียนถังจะชะตาชีวิตดีจริงๆ ครั้งนี้คนที่มาสู่ขอกลับเป็นท่านอ๋อง ซ้ำยังเป็นอ๋องราชนิกุลตัวจริงอีกด้วย!
น่าเสียดายที่บิดาแก่แล้วเลอะเลือน ปฏิเสธเรื่องนี้ไปได้อย่างไร นี่ไม่ใช่การล้างคอของพวกเขาทั้งครอบครัวรอให้คนมาตัดหรอกหรือ!
ส่วนพ่อบ้านผู้นั้นหลังพูดจบอย่างเย่อหยิ่งก็ยื่นจดหมายอีกฉบับที่สุยอ๋องเตรียมไว้แก่ท่านผู้เฒ่าลู่
“ท่านผู้เฒ่า นี่เป็นจดหมายที่สุยอ๋องเขียนให้คุณหนูหลิ่ว ท่านจะอ่านเองก่อนก็ไม่เป็นไร จากนั้นค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะรับปากหรือไม่ ไม่มีคำสั่งจากท่านอ๋องของพวกเรา ข้าไม่มีทางกล้ายกสินสอดกลับไป เช่นนั้นก็วางไว้หน้าบ้านสกุลลู่ของพวกท่านก่อนแล้วกัน!”
หลังพูดจบพ่อบ้านผู้นั้นสะบัดแขนเสื้อ เดินนำกลุ่มแม่สื่อออกไปจากบ้านทันที
ส่วนสินสอดห้าคันรถก็จอดวางทิ้งไว้หน้าประตูบ้านสกุลลู่ทั้งอย่างนี้
ลู่มู่เดินวนรอบสินสอดห้าคันรถอยู่หลายรอบ ก่อนย้อนกลับมาถามชายชราว่าควรทำอย่างไร
แต่ลู่อู่ไม่แม้แต่จะเหลือบมองเขา มือข้างที่ถือจดหมายฉบับนั้นกำเป็นหมัดแน่นจนสั่น
จากนั้นชายชราช้อนสายตาคมกริบขึ้นเขม้นมองบุตรชายคนโต แล้วเอ่ยเน้นกับเขาทีละคำ “ลู่เซี่ยน! ไสหัวไปที่ห้องหนังสือของข้าเดี๋ยวนี้!”
ตั้งแต่ลู่เซี่ยนได้ยินชื่อ ‘สุยอ๋อง’ ก็รู้ตัวว่าแย่แล้ว ตอนนี้เห็นบิดาเขม็งตามองก็รีบตามชายชราเข้าไปในห้องหนังสืออย่างว่าง่ายทันที
รอเข้าไปในห้องหนังสือ ท่านผู้เฒ่าลู่ขว้างจดหมายฉบับนั้นใส่หน้าบุตรชายคนโตพร้อมถามอย่างอำมหิต “เรื่องที่เขียนในจดหมายฉบับนี้เป็นความจริง?”
ลู่เซี่ยนทำใจหยิบจดหมายมาอ่านดู
สุยอ๋องทำตัวไร้คุณธรรม สาธยายเรื่องหลิ่วเหมียนถังเชื่อใจคนผิด เป็นคู่สามีภรรยาปลอมๆ กับพ่อค้าออกมาอย่างละเอียด ทั้งยังแสดงออกอย่างใจกว้างว่าคนงามถูกหลอกลวง ฝากฝังชีวิตให้ผิดคน เขาสามารถให้อภัยได้ หวังว่าคุณหนูหลิ่วอย่าได้รู้สึกผิดจนไม่ยอมฝากฝังชีวิตกับใครอีก รอเข้าไปในจวนอ๋องเขาจะไม่ถือสาหาความกับเรื่องในอดีต จะช่วยปิดบังอดีตที่ไม่น่ามองให้ นับจากนี้ไปสามารถคลอดบุตรให้เขาอย่างสบายใจ เป็นอนุสูงศักดิ์ของจวนอ๋อง ดื่มด่ำกับชีวิตหรูหรามีเกียรติ…
ส่วนเรื่องลักลอบขนย้ายเหมืองแร่กับพรรคพวกบนภูเขาหยั่งซานของลู่เซี่ยน สุยอ๋องท่านนี้ไม่ได้ยกมาพูดแม้แต่คำเดียว
แต่ว่าแค่เรื่องนี้ก็มากพอทำให้ชายชราอกระเบิดแล้ว
รอลู่เซี่ยนอ่านจดหมายเสร็จโดยไม่ได้โต้แย้ง ร่างกายของชายชราก็หงายล้มลงบนเก้าอี้ หัวใจเย็นวาบไปทั้งดวง
ดูท่าที่สุยอ๋องผู้นี้พูดจะเป็นความจริงทั้งหมด! คนเป็นลุงอย่างเขาดูแลเหมียนถังอย่างไร เหตุใดถึงปล่อยให้นางถูกบุรุษสารเลวที่ใดไม่รู้หลอกลวงจนเป็นเช่นนี้!
อีกอย่างสุยอ๋องผู้นี้มองดูแล้วใจกว้างปรารถนาดี แต่ความหมายโดยนัยคือ…หากเหมียนถังไม่ยอมรับการสู่ขอนี้ เขาจะโพนทะนาเรื่องเหมียนถังเสียตัว ทำลายชื่อเสียงและชีวิตที่เหลือของนางโดยสมบูรณ์!
เมื่อคิดถึงเรื่องน่าโมโห ชายชราทนไม่ไหวอีก ยกไม้เท้าขึ้นทุบตีลู่เซี่ยน
ลู่เซี่ยนไม่กล้าหลบเลี่ยง ได้แต่กุมศีรษะทนรับไว้
เขายิ่งไม่กล้าพูดเรื่องภูเขาหยั่งซานกับเรื่องไหวหยางอ๋อง ตอนนี้เห็นบิดาทั้งไอทั้งหอบ สภาพจะไม่ไหวอยู่แล้ว หากเขายังบอกออกไปอีกว่าหลิ่วเหมียนถังกับเขาเคยแอบสมรู้ร่วมคิดกับพวกคนที่ภูเขาหยั่งซาน และท่านอ๋องที่เตรียมสู่ขอหลิ่วเหมียนถังเป็นอนุสูงศักดิ์เยอะจนเรียงแถวได้ คาดว่าชายชราคงโมโหตายทั้งเป็น
รอหลิ่วเหมียนถังได้รับข่าวรีบมาที่ห้องหนังสือ ลู่เซี่ยนก็ถูกทุบตีจนร้องครวญครางแล้ว
นางรีบผลักประตูห้องหนังสือเข้าไปจับไม้เท้าของท่านตาไว้ “ท่านตา อย่าตีท่านลุงใหญ่อีกเลย…ข้าผิดเอง ข้าสร้างปัญหาให้กับครอบครัว”
ลู่อู่เองก็อาศัยโทสะเฮือกเดียวค้ำยันไว้ พอถูกหลิ่วเหมียนถังห้ามก็ทนไม่ไหวทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ทันที แต่ว่าน้ำตานองหน้า ร้องไห้ไม่มีเสียงออกมานานแล้ว
หลิ่วเหมียนถังก้มหน้าคุกเข่าอยู่ตรงหน้าท่านตา สายตาตกลงบนจดหมายฉบับนั้นพอดี
ประโยคที่เขียนอยู่บนนั้นเรียกได้ว่าข่มขู่คุกคามทุกพยางค์!
หลิ่วเหมียนถังกัดริมฝีปากอย่างห้ามไม่ได้
ลู่อู่เองก็รู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสอบสวน สุยอ๋องผู้นั้นจับจุดอ่อนเรื่องชื่อเสียงของหลิ่วเหมียนถังไว้ ข่มขู่ให้ยอมเป็นอนุ แม้หลิ่วเหมียนถังจะพูดว่าไม่สนใจชื่อเสียง แต่นั่นล้วนเป็นคำพูดของเด็กน้อย
ในสายตาของลู่อู่ สตรีมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้จะไม่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงได้อย่างไร แต่หากจะให้สุยอ๋องข่มขู่แล้วยอมเข้าไปในจวนอ๋องของอีกฝ่าย นั่นก็ห้ามกระทำตามฝ่ายนั้นโดยเด็ดขาด
แม้เขาจะไม่ได้เจอสุยอ๋องผู้นั้น แต่สามารถข่มขู่เช่นนี้ออกมาได้ก็ไม่ใช่คู่ครองที่ดีอะไร นับประสาอะไรกับที่สตรีตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งพาอย่างหลิ่วเหมียนถังไปเป็นอนุให้ท่านอ๋อง นั่นเป็นประตูที่ลึกล้ำดุจมหาสมุทรจริงๆ มิใช่ว่าจะโดนคนกุมความเป็นตาย ไม่มีพื้นที่ให้ตัดสินใจอะไรเองได้เลยหรือ
คิดมาถึงตรงนี้ต่อให้โกรธมากกว่านี้ก็ไม่อาจโกรธอยู่ได้นาน ลู่อู่ใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว ถามหลิ่วเหมียนถังว่าคิดอย่างไร ตอนนี้บุรุษที่หลอกแต่งงานอยู่ที่ใด สามารถรีบกลับมาชดเชยงานแต่งให้หลิ่วเหมียนถังได้หรือไม่
หลิ่วเหมียนถังตอบตามตรงว่าเขาอยู่ในกองทัพ ไม่มีเจตนาจะแต่งงานกับนาง ดังนั้นคงไม่มีทางรีบเดินทางมา
ลู่อู่ได้ยินแล้วขมวดคิ้วกัดฟันกรอด ตะคอกด่าลู่เซี่ยนอีกครั้ง ในเมื่อตอนนั้นเขาอยู่ที่ซีเป่ย เหตุใดจึงเก็บเจ้านั่นไว้ ไม่หักขาเจ้าสุนัขหลอกสตรีไม่รับผิดชอบตัวนั้นเสีย!
ลู่เซี่ยนไม่กล้าพูดว่าคนสารเลวหลอกลวงสตรีเป็นผู้บัญชาการทหารซีเป่ย เพียงแอบส่งสายตาให้หลิ่วเหมียนถัง บอกให้นางอย่าหลุดเผยความจริงออกไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นวันนี้บิดาเขาคงได้โมโหจนสลบไปแน่
พูดกันตามตรงหลิ่วเหมียนถังเองก็คิดไม่ถึงว่าสุยอ๋องจะนึกรับตนเองเป็นอนุขึ้นมา แต่คิดอีกทีก่อนหน้านี้ตอนที่เขาคิดว่าตนเป็นภรรยาพ่อค้า ยังทำเรื่องอย่างลักพาตัวออกมาได้เลย
ตอนนี้รู้ว่าตนเองถูกคนหลอกลวง ไม่ได้แต่งงานจริงๆ ย่อมไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว
หากเรื่องเกิดขึ้นเร็วกว่านี้นางอาจไร้แผนการรับมือ แต่ตอนอยู่โยวโจวไหวหยางอ๋องบอกกับนางว่าห้ามแต่งงาน ดังนั้นเรื่องนี้ควรจะให้ท่านอ๋องต่อสู้กัน ปล่อยท่านอ๋องทั้งสองไปปรึกษากันเอง
หลังปลอบท่านตาให้เขาไม่ต้องกังวลเกินไป รอเรื่องราวสงบลงค่อยคิดวิธีคืนสินสอดกลับไปอย่างไร หลิ่วเหมียนถังก็กลับไปที่เรือนตนเองแล้วจับพู่กันเขียนจดหมายให้ชุยสิงโจว
ในจดหมายเองก็ไม่มีประโยคอ้อมค้อม เพียงเขียนว่าตอนนี้หน้าประตูบ้านของตนมีคนคิดรับตนเป็นอนุเรียงเป็นแถว สุยอ๋องจับจุดอ่อนตน คิดอยากบังคับให้แต่งงานด้วย
เขียนจดหมายเสร็จหลิ่วเหมียนถังก็เรียกฟั่นหู่เข้ามาให้ช่วยส่งจดหมายให้
เขาย่อมมีวิธีส่งจดหมายไปถึงมือชุยสิงโจวโดยเร็วที่สุด
กระนั้นหลิ่วเหมียนถังก็รู้ว่าน้ำไกลดับกระหายที่ใกล้ไม่ได้* เรื่องนี้เกิดขึ้นตรงหน้าจะปฏิเสธสินสอดโดยอ้อมอย่างไรเป็นเรื่องที่ตนเองต้องเผชิญหน้าเอง ไม่อย่างนั้นหากเอาสินสอดกองไว้ตรงหน้าประตูต่อไป ทันทีที่มีฝนตกลงมาเปียกสินสอดจะยิ่งส่งคืนได้ยากกว่าเดิม
ในตอนนั้นเองฟางเซียรีบร้อนเข้ามาเอ่ย “คุณหนู มีใต้เท้ามาเยือนอีกแล้วเจ้าค่ะ”
ตอนนี้เวลาปี้เฉ่าได้ยินคำจำพวก ‘ใต้เท้า’ เอย ‘ผู้สูงศักดิ์’ เอย ในใจล้วนรู้สึกตื่นตระหนก ถามอย่างอึดอัดใจ “คงไม่ใช่เจิ้นหนานโหวท่านนั้นกลับมาร่วมวงด้วยใช่หรือไม่”
ฟางเซียถลึงตาใส่นางพลางเอ่ย “ท่านโหวผู้นั้นกลับไปตั้งแต่คุณหนูไม่อยู่แล้ว ไฉนเลยจะวกกลับมาร่วมวงได้! ครั้งนี้เป็นผู้ช่วยนายอำเภอของพวกเรา ใต้เท้าหลี่กวงไฉ!”
หลิ่วเหมียนถังขมวดคิ้วน้อยๆ หันไปมองหลี่มามา “เขามาทำอะไร”
หลี่มามาก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ในสายตานางท่านอ๋องไม่อาจวางใจในตัวคุณหนูหลิ่ว เกรงว่าเรื่องที่สุยอ๋องผู้นั้นตั้งใจมาตัดหน้าจะสร้างความไม่พอใจให้ท่านอ๋องอีกแล้ว
หลี่มามามองหลิ่วเหมียนถังแล้วลอบถอนหายใจ คุณหนูที่ไม่มีผู้ใดคอยสนับสนุน แต่ดันมีรูปโฉมดีเพียงนี้ ไฉนเลยจะยืนตามลำพังได้ หรือจะถูกชะตากำหนดให้มีชีวิตเป็นอนุจริงๆ?
หลิ่วเหมียนถังลุกขึ้นแล้วมุ่งหน้าไปห้องโถงด้านหน้า คิดอยากฟังว่าใต้เท้าหลี่ท่านนี้มาทำอะไร
บทที่ 68
ใต้เท้าหลี่ไม่ได้อยู่ที่ห้องโถงหน้า แต่ยืนนับสิ่งของอยู่นอกประตูบ้านสกุลลู่ ชายวัยกลางคนตัวเล็กรูปร่างผอมสวมชุดขุนนางตัวหลวม กำลังใช้นิ้วชี้นับรายการของขวัญที่จวนของสุยอ๋องส่งมาว่าขาดอะไรไปหรือไม่
วันนี้ลู่อู่ต้อนรับผู้สูงศักดิ์มามากเกินไป เหนื่อยล้าแล้วจริงๆ เมื่อมาสนทนากับขุนนางน้ำดีที่เพิ่งรับตำแหน่งใหม่คนนี้ก็รู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
หลี่กวงไฉเห็นลู่อู่เดินออกมาก็รีบยกชายชุดขุนนางเดินก้าวฉับไวไปต้อนรับ “ท่านผู้เฒ่าลู่ ข้าเป็นผู้ช่วยนายอำเภอคนใหม่ หลี่กวงไฉขอรับ”
ลู่อู่ประสานมือเอ่ย “ไม่ทราบว่าผู้ช่วยนายอำเภอมาที่นี่ด้วยเรื่องใดหรือ”
หลี่กวงไฉพกตำรากฎหมายว่าด้วยการแต่งงานของต้าเยี่ยนมาด้วย หลังหยิบออกมาจากเอวก็พลิกหน้ากระดาษเสียงดังพั่บๆ จากนั้นชี้ไปที่ข้อหนึ่งในนั้นแล้วเอ่ย “กฎหมายต้าเยี่ยนเขียนไว้ชัดเจนว่าการมอบสินสอด จะต้องเกิดขึ้นหลังทั้งสองครอบครัวลงนามในหนังสือหมั้นหมายแล้ว ดั่งคำที่ว่าหนังสือก่อนสินสอดภายหลัง แต่เมื่อครู่นี้ข้าถามนายท่านรองครอบครัวท่าน สุยอ๋องไม่ได้ลงนามในหนังสือหมั้นหมายกับครอบครัวท่าน ทว่าส่งสินสอดมาทันที เรื่องนี้ขัดต่อกฎหมาย! ข้าในฐานะขุนนางท้องถิ่นไม่อาจไม่ข้องเกี่ยว จำเป็นต้องแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎ ดังนั้นครอบครัวท่านจำเป็นต้องคืนสินสอดห้าคันรถนี้กลับไปก่อน รอลงนามในหนังสือหมั้นหมายแล้วถึงรับได้”
ลู่มู่ยืนเป็นเพื่อนใต้เท้าผู้ช่วยนายอำเภออยู่ตลอด เดิมทีเห็นว่าใต้เท้าหลี่ขี่ลาตัวเล็กพาผู้ใต้บังคับบัญชามาหยุดหน้าประตูบ้านตนเอง ยังหลงคิดว่าใต้เท้ามาร่วมชมความครึกครื้นด้วยเสียอีก
ดังนั้นลู่มู่เองก็คุมความตื่นเต้นอยากเกาะเกี่ยวคนมีอำนาจไม่ไหว บอกเรื่องสินสอดของสุยอ๋องกับใต้เท้าหลี่ไปตามตรง
ผู้ใดจะคาดว่าใต้เท้าหลี่กินอิ่มแล้วว่าง เพิ่งรับตำแหน่งใหม่ก็มีไฟลุกโชน อีกทั้งไฟกลับลามเผามาถึงงานแต่งงานดีๆ ของหลานสาวตนเองเสียแล้ว
ส่วนลู่อู่รู้สึกว่าผู้ช่วยนายอำเภอคนใหม่ท่านนี้ทำงานได้…ละเอียดรอบคอบนัก! อาจได้ยินสภาพการณ์ใหญ่โตหน้าประตูบ้านสกุลลู่เข้าเลยมาชมความครึกครื้นด้วย ไม่เสียทีที่เป็นขุนนางน้ำดี เชี่ยวชาญกฎหมายต้าเยี่ยน ถึงกับค้นพบช่องโหว่เช่นนี้ได้!
ลู่อู่ได้ยินแล้วก็โล่งอก เอ่ยด้วยความยินดี “ใต้เท้าพูดได้ถูกต้องยิ่ง เรื่องนี้ขัดต่อกฎหมายจริงๆ…เพียงแต่สุยอ๋องท่านนั้นพำนักอยู่ที่ใด ข้าก็ยังไม่ทราบ…”
หลี่กวงไฉโบกมือ แสดงออกว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ “ในเมื่อท่านเห็นด้วยกับการคืนสินสอด ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เหลือก็มอบให้ข้าจัดการเอง ท่านผู้เฒ่ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
หลังเอ่ยจบหลี่กวงไฉสั่งให้คนของตนจูงม้าเทียมเกวียนเดินมา แล้วลากสินสอดทั้งห้าคันรถออกไปจากตรอก
“ใต้เท้าหลี่โปรดรอก่อน!” ในตอนที่หลี่กวงไฉกำลังจะจากไป มีเสียงเอ่ยเรียกเขาดังขึ้นจากด้านหลัง
เมื่อเขาหันกลับไปมองก็เห็นหญิงสาวงดงามพริ้มเพราผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ซึ่งชาตินี้หลี่กวงไฉไม่เคยพบเห็นหญิงสาวที่ดูงดงามเพียงนี้มาก่อน จึงเดาได้ว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นหลิ่วเหมียนถังที่สุยอ๋องต้องการบังคับรับตัวเป็นอนุ
หญิงสาวผู้งดงามเดินเข้ามาคารวะ แจ้งชื่อสกุลตนเองตามคาด หลี่กวงไฉถึงได้รีบก้มหน้าเอ่ยด้วยเสียงจริงจัง “ไม่ทราบว่าคุณหนูหลิ่วเรียกตัวข้าไว้ด้วยเรื่องใดหรือ”
หลิ่วเหมียนถังคารวะอย่างสุดตัวให้ใต้เท้าหลี่พร้อมเอ่ย “หลิ่วเหมียนถังขอขอบคุณความลำบากของใต้เท้าหลี่เจ้าค่ะ!”
หลี่กวงไฉโบกไม้โบกมือ “คุณหนูไม่ต้องมากมารยาท ข้ากับ…ชุยจิ่วเป็นสหายร่วมสอบขุนนางด้วยกัน น่าเสียดายที่เขาถูกฝ่าบาทดึงกระดาษข้อสอบออก ไม่มีวาสนากับการสอบเตี้ยนซื่อ ข้าถึงได้เป็นทั่นฮวาผู้หนึ่ง นับดูแล้วพอจะฝืนถือว่าเป็นสหายร่วมรุ่นการสอบพิเศษ ดังนั้นเรื่องที่เขาไหว้วานข้า ข้าย่อมช่วยจัดการให้เรียบร้อย”
หลิ่วเหมียนถังคาดเดาจากปากหลี่มามาได้แต่แรกแล้วว่าหลี่กวงไฉผู้นี้เป็นคนที่ไหวหยางอ๋องส่งมา แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้ช่วยนายอำเภอตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะมีฐานะเป็นถึงทั่นฮวาในการสอบเตี้ยนซื่อ มิหนำซ้ำดูแล้วใต้เท้าหลี่ท่านนี้ดูจะมีมิตรภาพไม่ธรรมดากับไหวหยางอ๋องด้วย
ชุยสิงโจว…ส่งคนมีความสามารถระดับนี้มาที่นี่ มิใช่เป็นการสิ้นเปลืองคนหรอกหรือ
หลิ่วเหมียนถังไม่มีเวลาให้คิดมาก ได้แต่ค้อมตัวเอ่ยอีกครั้ง “ใต้เท้าเต็มใจออกหน้า ข้าย่อมสบายใจ เพียงแต่สุยอ๋องในฐานะท่านอ๋องราชนิกุล ตำแหน่งสูงศักดิ์มากอำนาจ หากไม่ยอมเลิกราง่ายๆ…”
หลี่กวงไฉโบกมือเอ่ยอีกครั้ง “ข้าทำงานตามกฎหมายบ้านเมืองมาโดยตลอด หากทำผิดกฎหมายต่อให้เป็นอ๋องก็มีความผิดเดียวกับชาวบ้านทั่วไป สุยอ๋องอยู่ไว้ทุกข์ให้ฮ่องเต้องค์ก่อน ออกบวชโดยไว้ผม เป็นผู้ให้ความสำคัญกับคุณธรรมเพียงใด จะทำผิดกฎทั้งที่รู้ดีแก่ใจ สร้างความลำบากให้ชาวบ้านได้อย่างไรกัน”
หลี่กวงไฉผู้นี้มีสีหน้าสัตย์ซื่อ มองแล้วเป็นคนคร่ำครึผู้หนึ่ง
แต่ว่าหลิ่วเหมียนถังเห็นเขายกย่องคุณธรรมสูงเสียดฟ้าให้สุยอ๋อง มองออกว่าฝีมือด้านวาทศิลป์ของใต้เท้าหลี่เองก็โดดเด่นเหนือผู้คน
หลี่กวงไฉเหมือนเข้าใจความกังวลของหลิ่วเหมียนถังเช่นกัน ดังนั้นจึงประสานหมัดเอ่ยอีกครั้ง “คุณหนูหลิ่ววางใจได้ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาจริงๆ ยังมีคนตัวสูงค้ำไว้ให้อยู่ ไม่มีทางถล่มมาโดนศีรษะครอบครัวสกุลลู่อย่างแน่นอน”
หลังเอ่ยจบเขาหันหน้าไปเรียกผู้ใต้บังคับบัญชาให้ไปหาคนบังคับรถม้ามา จากนั้นนำสินสอดจากไป
เมื่อครู่นี้ช่วงที่หลิ่วเหมียนถังคุยกับใต้เท้าหลี่ ลู่มู่รีบไปหาบิดาอย่างร้อนใจ อยากจะเกลี้ยกล่อมบิดาขัดขวางไม่ให้ใต้เท้าหลี่นำสินสอดกลับไป ซึ่งแน่นอนว่าถูกลู่อู่ด่ากลับมาเปิดเปิงอย่างไม่ไว้หน้า
รอเขาย้อนมาอีกทีใต้เท้าหลี่ก็ให้คนพาขบวนรถสินสอดจากไปแล้ว ทำเอาเขาร้อนใจจนตบตัก
พอเห็นหน้าหลิ่วเหมียนถังก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้บอกใต้เท้าหลี่หรือว่าสินสอดพวกนี้ไม่อาจส่งคืนได้ ไม่อย่างนั้นมิใช่ว่าพวกเราล่วงเกินสุยอ๋องหรือไร”
หลิ่วเหมียนถังหยุดยืนมองท่านลุงรองพร้อมถามเนิบๆ “ความหมายของท่านลุงรองคือ…ข้าควรจะรับปากเป็นอนุให้สุยอ๋องหรือ”
ลู่มู่ถูกถามจนสะอึก รีบเปลี่ยนคำพูด “ไม่ใช่…ลุงเองก็รู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจเป็นอนุ แต่เจ้าต้องรู้ว่านี่คืออนุสูงศักดิ์ของจวนอ๋อง! ไม่ใช่อนุของครอบครัวคนมีฐานะทั่วไป นั่นเป็นสิ่งที่คนอื่นเรียกร้องยังหาไม่ได้ มิหนำซ้ำหากสุยอ๋องกล่าวโทษมาจะให้พวกเราทั้งครอบครัวลำบากไปกับเจ้าด้วยหรือไร”
หลิ่วเหมียนถังเอ่ยเรียบๆ “ข้าคิดไว้แต่แรกแล้วว่าวันพรุ่งนี้จะไปที่ว่าการยื่นเรื่องขอเป็นเจ้าบ้านสตรี รวมถึงหาซื้อบ้านแล้วย้ายออกไปอยู่ ข้าสกุลหลิ่ว ไม่ได้สกุลลู่ จะแต่งงานหรือไม่พวกท่านลุงสนใจจัดการนับเป็นน้ำใจ ไม่สนใจก็เพราะตามฐานะ ย่อมมีข้ารับผิดชอบด้วยตนเอง”
พูดจบนางไม่มองลู่มู่อีก เพียงพาสาวใช้สองคนย้อนกลับไปที่เรือนตนเอง
ความจริงเรื่องย้ายออกจากบ้านสกุลลู่นางวางแผนไว้ในใจนานแล้ว กระทั่งเรือนหลังเล็กในเมืองข้างเคียงยังซื้อไว้เรียบร้อย รอแค่หาโอกาสบอกกับท่านตา
แน่นอนว่าเหตุผลแรกที่นางทำเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อหลบเลี่ยงสุยอ๋อง แต่กลัวว่าชุยสิงโจวจะไม่ยอมเลิกรา แล้วลำบากมาถึงสกุลลู่
แต่ตอนนี้สุยอ๋องบังคับรับเป็นอนุ ประจวบเหมาะให้นางได้มีข้ออ้างย้ายออกจากสกุลลู่อย่างสง่าผ่าเผยพอดี
พี่ชายนางถูกเนรเทศ บิดาตายไปแล้ว เดิมทีก็เข้ากับเงื่อนไขการเป็นเจ้าบ้านสตรี ใต้เท้าหลี่ท่านนั้นได้ยินว่านางจะเป็นเจ้าบ้านสตรีก็ให้นายทะเบียนออกเอกสารให้นางอย่างไม่ลังเล
หลิ่วเหมียนถังลงมือทำก่อนค่อยบอก รอสำมะโนครัวทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยถึงได้ไปพูดกับท่านตา
หลายวันมานี้ลู่อู่ถูกเหตุไม่คาดฝันติดต่อกันขัดเกลาจนมีน้ำอดน้ำทน เพียงถามหลิ่วเหมียนถังว่ากลัวท่านตาอย่างเขาปกป้องนางไม่ได้หรือ
หลิ่วเหมียนถังบีบนวดหลังให้ท่านตาไปพลางเอ่ยไปพลาง “หากมีเพียงท่านตาคนเดียวข้าจะไม่ไปที่ใดทั้งนั้น ท่านตาย่อมสามารถปกป้องข้าได้เป็นอย่างดี แต่สกุลลู่มีเด็กมากมายเพียงนี้ ท่านตาไม่อาจเอาแต่สนใจดูแลข้าแล้วไม่ดูแลพวกเขา สุยอ๋องมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ใช่คนมีเหตุผล ข้าแยกตัวออกไปคนเดียว ถ้าปฏิเสธหนักแน่นเขาเองก็ทำอะไรข้าไม่ได้ จะลำบากให้ทุกคนในสกุลลู่มาลงน้ำสกปรกไปด้วยกันกับคนต่างสกุลอย่างข้าได้อย่างไร”
ในฐานะผู้อาวุโสของทุกคน ลู่อู่รู้ว่าหลิ่วเหมียนถังพิจารณาได้ถูกต้อง แต่นางเป็นสตรีตัวคนเดียวไร้บิดามารดา นางออกไปอยู่ตามลำพัง วันหน้ายังมีความลำบากอีกมากมายนัก รวมกับที่ไม่รู้ว่าสุยอ๋องจะยอมรามือหรือไม่ เรื่องนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ
แต่หลิ่วเหมียนถังกลับไม่ให้ท่านตาไตร่ตรองมากเกินไป บอกเพียงว่าสำมะโนครัวไม่สามารถเปลี่ยนได้บ่อยๆ ต่อให้ท่านตาไม่อนุญาตก็ไม่ทันแล้ว
อีกอย่างเรือนหลังนั้นนางซื้อไว้นานแล้ว สองวันมานี้กำลังหาคนมาทาสีตกแต่ง รอกำแพงแห้งเมื่อใดก็ย้ายเครื่องเรือนเข้าไปได้ทันที
ลู่อู่คิดอยู่หนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นเขาพาลู่เซี่ยนไปดูเรือนหลังนั้นที่หลินโจว สถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไม่นับว่าปลีกวิเวก เรือนดูแล้วไม่ใหญ่ ทว่าซ่อมแซมได้ดูดีมาก
ทั้งสองคนมองออกว่าหลิ่วเหมียนถังให้คนมาซ่อมที่นี่ไว้นานแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะขุดบ่อน้ำไว้ตรงซุ้มเถาองุ่นด้วย ข้างในเลี้ยงปลาจิ่นหลี่ที่สะบัดหางแหวกว่ายกับดอกบัวขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้แล้ว
ลู่อู่เห็นว่าไม่มีอะไรให้เสริมเติมแต่งได้อีก เลยมอบกล่องเครื่องประดับที่เตรียมให้หลิ่วเหมียนถังแต่แรกกับนาง นอกจากนี้ยังโยกย้ายบ่าวรับใช้ที่วรยุทธ์ดีจำนวนหนึ่งมาคุ้มกันเรือนให้นางด้วย
ตอนที่หลิ่วเหมียนถังรับกล่องเครื่องประดับมาก็ตระหนักอย่างแปลกใจว่าตั๋วเงินข้างในมีมากขึ้นกว่าครั้งก่อนที่ท่านตาให้นางดูเสียอีก
นางมองท่านตาอย่างสงสัย
ลู่อู่เอ่ยเรียบๆ “ยายหนูบ้านรองมีบิดาที่หาเงินเก่ง ไม่จำเป็นต้องให้ท่านตาอย่างข้าเป็นห่วง เลยรวมสองส่วนเข้าด้วยกันแล้วนำมามอบให้เจ้าทั้งหมด”
หลิ่วเหมียนถังได้ยินว่าที่แท้มีส่วนของญาติผู้น้องลู่ชิงอิงด้วย ย่อมไม่ยอมรับไว้
แต่ลู่อู่กลับเอ่ยว่า “ที่เจ้ารองแอบยักยอกไปมากพอให้เขาแต่งบุตรสาวหลายคนแล้ว ในเมื่อข้าลำเอียงแต่แรก อย่างนั้นก็ลำเอียงให้ถึงที่สุดเถิด เจ้าออกมาเป็นเจ้าบ้านสตรีไม่ได้รอให้ข้าอนุญาต เช่นนั้นข้าอยากให้สินเดิมเจ้าเท่าไรเจ้าก็ห้ามไม่ได้! เพียงรับไว้ก็พอแล้ว!”
หลิ่วเหมียนถังอับจนหนทางได้แต่รับเอาไว้ก่อน เพราะว่าท่านตายังโกรธนาง ไม่ยอมมองนางตรงๆ ด้วยซ้ำ
แม้ลู่อู่จะเดินสำรวจกลับไปกลับมาแล้วหลายรอบ แต่ตอนที่หลิ่วเหมียนถังย้ายบ้าน ยังมีใต้เท้าหลี่มาช่วยตรวจสอบเพื่อนบ้านรอบๆ ด้วยตนเองอีกรอบหนึ่งด้วย เขานับจำนวนคน ดูว่ามีพวกนักโทษหรือว่าจู่ๆ มีบุคคลจากต่างถิ่นมาเช่าบ้านกะทันหันหรือไม่
หลี่มามาพอใจกับความละเอียดรอบคอบของหลี่กวงไฉมาก ในช่วงที่ใต้เท้าหลี่หยุดพักระหว่างตรวจสอบสำมะโนครัว นางให้ฟางเซียนำกล่องอาหารมามอบให้ใต้เท้าหลี่ ในนั้นมีกับข้าวและสุรารสเลิศ ป้องกันไม่ให้ใต้เท้ายุ่งกับการรักใคร่ราษฎรเกินไปจนไม่มีเวลากินอาหารกลางวัน
หลังหลิ่วเหมียนถังจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก็ผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ มองเรือนหลังเล็กของตนเองอย่างพึงพอใจ ก่อนให้ปี้เฉ่าย้ายเก้าอี้เถาวัลย์ที่เพิ่งซื้อใหม่มา เตรียมนั่งอยู่ใต้ซุ้มเถาองุ่นที่งอกใบเขียวแล้วให้อาหารปลา
แต่ประโยคไม่ตั้งใจประโยคเดียวของปี้เฉ่ากลับทำให้อารมณ์ดีๆ ของหลิ่วเหมียนถังลดทอนลงไปมาก “คุณหนู บ่าวว่าลานบ้านหลังนี้เหตุใดจึงเหมือนกับลานบ้านบนถนนสายเหนือที่ตำบลหลิงเฉวียนมากเพียงนั้นเล่าเจ้าคะ!”
หลิ่วเหมียนถังเกือบจะสำลักน้ำชาที่ตนเองเพิ่งดื่มลงไป ตอนที่กำลังคิดเถียงกลับว่าเหมือนตรงที่ใดก็พลันนิ่งเงียบ
ไม่ใช่หรือไร…ในลานบ้านบนถนนสายเหนือเมื่อก่อนก็มีซุ้มเถาองุ่น ในฤดูร้อนหลิ่วเหมียนถังชอบจัดโต๊ะกินข้าวใต้ซุ้ม ซ้ำยังเคยพูดกับชุยสิงโจวว่าหากที่ตรงนี้มีบ่อปลาเล็กๆ ก็คงดี
ทั้งยังมีชั้นไม้ยาวที่สั่งช่างไม้ทำเป็นพิเศษตรงนั้นอีก ที่บ้านบนถนนสายเหนือก็มีอยู่ชุดหนึ่ง ทั้งสามารถตากเสื้อผ้าและผึ่งถ้วยชา แล้วยังตากเนื้อแดดเดียวที่หลี่มามาทำได้อีก…
หลิ่วเหมียนถังมองประเมินลานบ้านเสร็จก็ผุดลุกเดินเข้าไปในห้อง
เครื่องเรือนภายในบ้านจัดวางเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งของเตียงหรือโต๊ะล้วนไม่แตกต่างกับบ้านที่ตำบลหลิงเฉวียนจริงๆ
หลิ่วเหมียนถังจากที่ไม่ค่อยรู้สึกหดหู่ใจ แต่ชั่วขณะนี้อยากจะเอาศีรษะโขกกำแพงนัก หากสาวใช้ไม่ทักขึ้นมานางก็ไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าความเคยชินของคนเราน่ากลัวเพียงนี้
ทุกวันนี้นางตั้งตนเป็นเจ้าบ้านสตรี ใช้ชีวิตตามลำพัง แต่ดันมาโดนอำนาจของความทรงจำในอดีต เปลี่ยนสภาพบ้านของตนเองให้เป็นเหมือนบ้านบนถนนสายเหนือ
วันนั้นกระทั่งนอนหลับหลิ่วเหมียนถังยังหลับไม่สนิท
เช้าวันรุ่งขึ้นหลิ่วเหมียนถังก็สั่งให้พวกปี้เฉ่าช่วยนางจัดตำแหน่งเตียงกับตู้ภายในห้องใหม่อีกรอบ
ปี้เฉ่าผู้น่าสงสารเป็นเพราะเมื่อวานเผลอพลั้งปากไป วันนี้เลยต้องมาเหนื่อยขนย้ายข้าวของจนยืดเอวเหยียดตรงแทบไม่ไหว
เดิมทีหลิ่วเหมียนถังตั้งใจล้มซุ้มเถาองุ่นด้วย แต่จนใจที่นางชอบกินข้าวชมปลาใต้ซุ้มเถาองุ่นมากเกินไป ดังนั้นจุดนี้ที่เหมือนกันจึงยอมอดทนไว้ชั่วคราว
หลี่มามาเห็นหลิ่วเหมียนถังเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ก่อนเข้าห้องครัวไปทำกระดูกหมูตุ๋น ขอเพียงสายตาไม่เห็นก็ไม่หงุดหงิดเอง!
ทว่าเรื่องที่ชวนให้หงุดหงิดใจ นอกจากการตกแต่งเครื่องเรือนแล้วยังมีมากกว่านั้น…
เมื่อพูดถึงทางสุยอ๋อง เดิมทีเขารู้สึกว่าการรับหลิ่วเหมียนถังเป็นอนุคือเรื่องที่ง่ายดายมาก ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรทุกวันนี้นางไม่มีตำแหน่งหัวหน้าภูเขาหยั่งซานอีก ยิ่งไม่มีอำนาจอะไรคอยช่วยเหลือ ก็แค่หลานสาวของชายแก่ที่เปิดสำนักคุ้มภัยคนหนึ่ง
เขาไปสู่ขอ เดิมสกุลลู่ควรจะซาบซึ้งใจน้ำตาไหล ได้รับสินสอดก็แบกเกี้ยวส่งหลิ่วเหมียนถังมาให้ทันที
คิดไม่ถึงว่าพวกเขาส่งบางอย่างมาให้จริงๆ แต่กลับเป็นสินสอดห้าคันรถที่เขาส่งออกไป และที่ตามมาด้วยก็คือผู้มีความสามารถที่ครั้งนี้เขาจงใจรั้งอยู่ที่ซีโจวเพื่อดึงตัวมาเป็นพวก…หลี่กวงไฉ
หลิวเพ่ยรู้สึกว่าความจริงสายตาของตนเองไม่เลว หลี่กวงไฉที่อยู่ตรงหน้าเป็นยอดคนจริงๆ เขาขวัญกล้าเทียมฟ้า พูดจาฉะฉานต่อหน้าตนเอง อาศัยเหตุผลว่าการบังคับรับอนุขัดต่อกฎหมายของต้าเยี่ยน หลังยัดเยียดคืนสินสอดกลับมาก็ขี่ลาจากไป
ในเวลานั้นสุยอ๋องใคร่ครวญถึงเหตุผลที่หลี่กวงไฉทำตัวเช่นนี้ หรือว่า…ผู้ช่วยนายอำเภอหลี่เองก็ต้องตาหลิ่วเหมียนถัง เลยรีบมาปกป้องชื่อเสียงของคนในดวงใจ?
ทว่ามีอย่างหนึ่งที่หลี่กวงไฉพูดผิดไป นั่นก็คือเขาหลิวเพ่ยไม่ค่อยสนใจชื่อเสียงของตนเองนัก สมัยนั้นที่ออกบวชไว้ผมก็เพียงเพื่อซ่อนตัวจากที่กลางแจ้ง และต่อให้เขาบังคับรับหญิงสาวตัวคนเดียวมาเป็นอนุ นั่นแล้วอย่างไรกัน ขุนนางคนใดจะกินอิ่มจนไม่มีอะไรทำมาสนใจเรื่องเล็กน้อยของท่านอ๋องอิสระอย่างเขาเล่า
ระหว่างหลี่กวงไฉกับหลิ่วเหมียนถัง สุยอ๋องลองเปรียบเทียบกันแล้วรู้สึกว่ายังอยากได้ตัวหลิ่วเหมียนถังมากกว่าสักหน่อย
ดังนั้นครั้นได้ยินว่าหลิ่วเหมียนถังออกไปตั้งตัวเป็นเจ้าบ้านสตรี สุยอ๋องคลี่ยิ้มอย่างนึกสนุก ดูท่าหลิ่วเหมียนถังเองก็รู้ว่าล่วงเกินตนเองเข้า ไม่อยากให้ครอบครัวลำบากไปด้วย ถึงได้รีบร้อนแยกตัวออกมาใช้ชีวิตคนเดียว
แต่สตรีตัวคนเดียวจะดูแลบ้านลำบากมากเพียงใด ในเมื่อเป็นเช่นนี้หากเขาไม่ช่วยเหลือเสียหน่อยจะดูไม่เหมาะสมแล้วจริงๆ
คิดมาถึงตรงนี้สุยอ๋องตัดสินใจส่งคนไปเยือนที่บ้านของหลิ่วเหมียนถังอีกครั้ง ตั้งใจ ‘เกลี้ยกล่อม’ หลิ่วเหมียนถังให้ดีๆ ให้นางเข้าใจถึงความร้ายแรงของการปฏิเสธเขา
ตอนที่คนของสุยอ๋องเคาะประตูบ้านของหลิ่วเหมียนถัง ปี้เฉ่าแนบตัวกับช่องประตูเห็นเป็นพวกบ่าวเหลี่ยมจัดพวกนั้น ในใจก็อดเคร่งเครียดอย่างมากไม่ได้
หลังนางนำเรื่องนี้ไปแจ้งหลิ่วเหมียนถังอย่างร้อนใจ ปรากฏว่าหลิ่วเหมียนถังยังคงฝึกคัดอักษรโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี จากนั้นเอ่ย “ไม่ต้องสนใจพวกเขา แค่บอกคนพวกนั้นว่าครอบครัวพวกเรามีเจ้าบ้านเป็นสตรี ไม่สะดวกต้อนรับแขกบุรุษ เชิญพวกเขากลับไปเถอะ”
ปี้เฉ่าเลียนแบบคำพูดของคุณหนูพูดให้คนของสุยอ๋องฟังอย่างไม่มีตกหล่น
แต่ว่าคนเหล่านี้เดาได้อยู่แล้วว่าหลิ่วเหมียนถังไม่มีทางเปิดประตูแน่
คิดถึงว่าสมัยก่อนสุยอ๋องอยู่ที่เมืองหลวงผยองอวดดีมากเพียงไร แค่ว่าภายหลังไปอยู่ฮุ่ยโจวได้ทำตามคำกำชับของพระมารดา ไม่ว่าทำอะไรล้วนถ่อมตนมากขึ้น แต่ความเผด็จการในกระดูกกลับไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เห็นหลิ่วเหมียนถังไม่เปิดประตู บรรดาบ่าวเหลี่ยมจัดแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนก้าวขึ้นหน้ามาถีบประตูเปิดทันที
วันนี้ตอนที่สุยอ๋องสั่งงานพวกเขาบอกเพียงเจตนาเดียวเท่านั้น จะต้องพาตัวหลิ่วเหมียนถังกลับมาให้ได้!
ถึงเวลาใต้เท้าหลี่ผู้นั้นมาขอตัวคนอีกครั้ง หลิวเพ่ยก็ทำเพียงว่าคนของเขาคิดเองเออเอง ‘เชิญตัว’ หลิ่วเหมียนถังมาที่โรงเตี๊ยมของเขา
ทว่าหญิงสาวนางหนึ่งเข้ามาในที่พักของเขา ชื่อเสียงเสียหายไปแล้ว หากเขาปล่อยตัวกลับไปมิใช่บังคับให้หญิงสาวฆ่าตัวตายหรอกหรือ เขาก็เลยกักตัวคนไว้ไม่ยอมปล่อย ดูว่าผู้ช่วยนายอำเภอตัวเล็กๆ จะทำอะไรเขาได้
ในเมื่อนางไม่ชอบพูดคุยกับเขาดีๆ อย่างนั้นเขาก็จะให้นางได้รู้ว่าบุรุษที่ไม่ฟังเหตุผลทำตัวเยี่ยงไรก็แล้วกัน!
ตอนที่คนเหล่านั้นบุกรุกเข้าไปในเรือน พวกฟั่นหู่เตรียมตัวพร้อมอยู่ก่อนแล้ว ก้าวขึ้นหน้าไปขัดขวางพวกที่บุกรุกเข้ามาก่อนเริ่มวิวาทกัน
สุยอ๋องผู้นี้วางแผนอื่นไว้แต่แรก วรยุทธ์ของลูกน้องเดนตายที่เลี้ยงไว้นับว่าสูงส่ง ในเวลานี้พวกฟั่นหู่เองก็ขัดขวางไว้อย่างยากลำบาก
หลิ่วเหมียนถังกัดริมฝีปากอยู่ในห้อง ในใจเองก็เข้าใจเหตุผลว่าไยสุยอ๋องถึงโอหังเพียงนี้
ที่นี่ไม่ใช่สถานที่รกร้างนอกเมือง ต่อให้คนของสุยอ๋องจงใจบุกเข้ามา แต่หากบาดเจ็บล้มตายอยู่ในลานบ้านนาง ต่อให้นางบริสุทธิ์ก็ถูกสุยอ๋องเปลี่ยนเป็นมีมลทินได้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้สุยอ๋องย่อมไม่มีอะไรให้หวาดกลัว ตั้งใจทำให้เป็นเรื่องใหญ่ บางทีสุยอ๋องอาจจะหวังให้คนของเขาตายสักคนสองคนด้วยซ้ำ แล้วอาศัยเรื่องนี้มาเล่นงานนาง
ส่วนไหวหยางอ๋องผู้นั้น…ตอนนี้เขาอยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้า มิหนำซ้ำต่อให้เขาอยู่ใกล้ จะเต็มใจแตกหักกับสุยอ๋องเพื่อนางหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
คิดมาถึงตรงนี้หลิ่วเหมียนถังค่อยๆ วางธนูคันเล็กที่ยกขึ้นลง
แม้นางจะออกมาเป็นเจ้าบ้านสตรี แต่หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่จะต้องส่งผลกระทบต่อบ้านท่านตาอยู่ดี นางไม่อาจทำตัวตามอำเภอใจเหมือนตอนอยู่ในถิ่นทุรกันดาร จับตัวลูกน้องของสุยอ๋องไปให้สุนัขป่ากินเช่นนั้น
พอถูกพันธนาการไว้ซ้ายขวาเช่นนี้ หลิ่วเหมียนถังไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ ก็รู้สึกว่าหญิงชาวบ้านดีๆ คนหนึ่งกลับมีชีวิตอิสรเสรีเทียบเท่าโจรภูเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยพวกโจรภูเขาก็ไม่ต้องฝืนใจตนเอง ยอมก้มหัวให้แก่อำนาจเหล่านี้…
ขณะที่ภายในลานบ้านกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทันใดนั้นก็มีเสียงย่ำเท้าสะเทือนพื้นดินดังมาจากตรอกข้างนอก เสมือนมีกองทัพนับพันนับหมื่นเดินทัพมา
ในเวลานั้นทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้โรมรันต่างหยุดลง ได้ยินเสียงฝีเท้า ‘กุบกับๆ’ ดังเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ…
บรรดาบ่าวป่าเถื่อนพวกนั้นเห็นสถานการณ์ไม่ถูกต้อง จึงส่งสายตาให้กันเตรียมออกจากลานบ้านไปดูก่อน แต่ทันทีที่ก้าวออกจากประตูก็ถูกทหารในชุดเกราะกลุ่มหนึ่งโอบล้อมเอาไว้
บรรดาทหารเหล่านั้นเองก็ไม่พูดไม่จา ชักดาบออกมาฟันใส่คนเหล่านี้ทันที
ดาบยาวเงาวับหลายสิบเล่มสะบั้นลงมาจนคนไร้ที่หลบหลีก ยามนั้นศีรษะของคนเหล่านั้นถูกสะบั้นขาดมิต่างจากน้ำเต้าโลหิต
หลังฟันดาบสังหารคนไปจำนวนหนึ่ง บรรดาทหารในชุดเกราะก็บุกเข้ามาเพื่อฟันคนที่เหลือให้หมด
หนึ่งในทหารกลับพูดขึ้นว่า “ท่านผู้บัญชาการกำชับไว้แล้ว ฟันคนที่ข้างนอกประตู อย่าให้เลอะในลานบ้าน” หลังเอ่ยจบพวกคนที่เหลือถูกจับกดลงพื้น ลากแขนลากขาออกไปนอกบ้าน ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนที่เงียบกริบลงในเวลาไม่นาน
“ลากตัวคนไปเป็นอาหารสุนัขที่สุสานไร้ญาตินอกเมือง! ตักน้ำมาล้างพื้นด้วย!” หลังสิ้นเสียงตะโกนนี้ ภายนอกลานมีเสียงฝีเท้าชุลมุน ก่อนจะเป็นเสียงน้ำดังซ่าๆ
จากนั้นอีกสักพักก็เป็นเสียงวิ่งเหยาะๆ อย่างสม่ำเสมอ ทหารทั้งตรอกล่าถอยกันออกไปหมดจดเสมือนกระแสน้ำลง
ปี้เฉ่ารวบรวมความกล้าชะโงกหน้ามองออกมาจากข้างหลังฟั่นหู่ เห็นว่าคนของแต่ละบ้านเรือนในตรอกเองก็ชะเง้อชะแง้คอมองออกมาจากกำแพงบ้าน แต่ละคนล้วนมีท่าทีตกตะลึงไม่หาย
แต่ภายในตรอกแห่งนี้ นอกจากแอ่งน้ำบนพื้นกับกลิ่นคาวเลือดฉุนกึกในอากาศ ทุกอย่างล้วนดูสะอาดสะอ้านเหมือนไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
หลิ่วเหมียนถังตกตะลึง พลันนึกได้ว่าชุยสิงโจวเคยพูดว่าหากนางมีบุรุษอื่น อย่าโทษที่เขายกทัพมาคิดบัญชี คำพูดเสียสตินี้…เขากลับทำจริงๆ แล้ว!
* เตี้ยนซื่อ หรือการสอบหน้าพระที่นั่ง เป็นการสอบรอบสุดท้ายของการสอบรับราชการซึ่งจัดขึ้นในวังหลวง โดยมากฮ่องเต้จะเป็นผู้ควบคุมการสอบด้วยตัวเอง และผู้ที่สอบได้เป็นอันดับหนึ่งเรียกว่าจ้วงหยวน หรือจอหงวน (状元) อันดับสองปั่งเหยียน (榜眼) อันดับสามทั่นฮวา (探花)
* น้ำไกลดับกระหายที่ใกล้ไม่ได้ หมายถึงความช่วยเหลือที่อยู่ห่างไกลไม่อาจช่วยแก้ปัญหาที่เร่งด่วนได้ทันท่วงที
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือนมกราคม 66)
Comments
comments
No tags for this post.