LOVE
ทดลองอ่าน ณัฐรัมภา บทที่ 3
ที่หญิงสาวตั้งกฎเอาไว้ว่าจะไม่รับงานมากเกินไปก็เพราะอยากให้ตัวเองมีเวลาพักผ่อน เงินก็อยากได้นั่นแหละ แต่ตอนเด็กกว่านี้เธอทำงานหนักมาก เลยได้เรียนรู้ว่าถ้าถึงขั้นไม่มีเวลาให้ตัวเองคงแย่ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การพยายามหาจุดสมดุลให้กับชีวิตส่วนตัวและการงานถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นปัจจุบันเธอจึงเลือกมากขึ้นในการรับงานพิเศษแต่ละหน
ทว่าสำหรับครั้งนี้ณัฐรัมภาพิจารณาแล้วว่างานที่บ้านของณัฐนนท์ไม่ยุ่งยากมาก ดังนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร หรือต่อให้สองงานคาบเกี่ยวกันอยู่บ้างก็คงไม่หนักหนาเกินไป อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็โสดสนิท ไม่ต้องหาเวลาให้ใคร ที่สำคัญคือการได้คุยกับณัฐนนท์ทำให้เธอหวนนึกถึงความฝันสมัยยังเด็กที่อยากไปเรียนเมืองนอกด้วย
ถึงจะยังผ่อนคอนโดฯ ไม่หมด แต่ยอดเงินต้นที่เหลือก็ไม่มากแล้ว ส่วนรถก็เหลือจำนวนงวดที่ต้องผ่อนอีกประมาณหนึ่งปีเท่านั้น หญิงสาวเชื่อว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการตามความฝัน เมื่อคำนวณเวลาและอะไรต่างๆ คร่าวๆ แล้ว เธอคิดว่าน่าจะสามารถไปเรียนต่ออะไรสักอย่างในระยะสั้นได้ก่อนอายุครบสามสิบปี
ก่อนหน้านี้ณัฐรัมภาตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ว่าจะผ่อนบ้านผ่อนรถให้หมด ทว่าตอนนี้ก็มีเรื่องการไปเรียนต่อเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี การมีเป้าหมายถือเป็นแรงขับเคลื่อนชั้นดีในการพาชีวิตดำเนินไปข้างหน้า ทุกวันนี้ที่เธอมีไฟในการทำงานก็เพราะมีเป้าหมายนี่เอง
มานึกดู การวางแผนว่าจะกลับไปเรียนก็น่าสนุกดีเหมือนกัน
“ณัฐ ล้างจานดีๆ สิวะ น้ำกระเด็นมาโดนฉันแล้วเห็นไหม”
ไทโรนที่ยืนดูดน้ำมะพร้าวอยู่ใกล้กับอ่างล้างจานเอะอะใส่เพื่อนชาวไทยผู้ซึ่งกำลังล้างจาน ผลคือโดนณัฐนนท์หันมาขึงตาใส่
“ไอ้เวร ยืนกินแรงอยู่เฉยๆ แล้วยังจะบ่นอีก ไม่อยากโดนน้ำกระเด็นใส่ก็ไปไกลๆ โน่น”
“อะไรวะ นี่ฉันอุตส่าห์มาให้กำลังใจ” หนุ่มอเมริกันแกล้งบ่นพึมพำ
เย็นนี้สองหนุ่มเพื่อนซี้มากินข้าวที่บ้านของชื่นจิตผู้เป็นแม่ของณัฐนนท์ ปกติถ้ากลับมากินข้าวที่บ้านชายหนุ่มก็จะช่วยแม่ล้างจานชามหลังมื้ออาหารอยู่แล้ว ถ้าไทโรนมาด้วยเขาก็จะอาสาช่วยอีกคน แต่แม่ก็มักจะมองว่าหนุ่มอเมริกันเป็นแขก เจ้าบ้านไม่ควรรบกวนแขก ดังนั้นท่านเลยบอกให้ลูกชายล้างเองคนเดียว ตอนแรกเพื่อนตัวดีก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ทว่าพอหลายหนเข้าอีกฝ่ายก็ไม่โต้แย้งอีก แล้วหันมาแกล้งก่อกวนเยาะเย้ยณัฐนนท์ระหว่างล้างจานแทน
“อะไรกันอีกแล้วล่ะนั่น” ชื่นจิตยื่นหน้ามาดูเพราะได้ยินเสียงเอะอะในห้องครัว “อย่าเล่นอะไรกันให้ครัวแม่เลอะเทอะล่ะ”
“ไม่เล่นหรอก ถ้าเลอะผมก็ต้องทำความสะอาดอีก” ณัฐนนท์ทำหน้าเมื่อย “ไอ้ลูกฝรั่งของแม่สิ กวนผมอยู่ได้”
“เรียกเพื่อนแบบนั้นได้ไง” ผู้เป็นแม่ขมวดคิ้วก่อนจะถอยกลับไป
หนุ่มไทยเข้าใจว่าแม่คงคร้านจะยุ่งกับการตีกันของเขาและเพื่อนซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ เขาหันกลับมายังอ่างล้างจาน ทว่าพอเหลือบเห็นเพื่อนยิ้มกริ่มกวนโอ๊ยก็แทบจะยกขาขึ้นถีบ ถึงอีกฝ่ายจะเพิ่งมาอยู่เมืองไทยได้แค่ปีกว่าแต่ก็เข้าใจภาษาไทยดี เพราะสมัยเรียนอยู่อเมริกาไทโรนเคยขอให้เขาสอนภาษาไทยเพื่อไปจีบสาวไทย พอจีบติดภาษาไทยก็ยิ่งพัฒนา แม้จะติดขัดบ้างเวลาพูดคำยากๆ หรือบางทีก็ต้องใช้เวลานึกเรียบเรียงประโยคสักหน่อย แต่แค่นี้ก็ทำให้คนไทยเอ็นดูได้ไม่ยากแล้ว แม่ของเขาก็เช่นกัน แถมหมอนี่ก็เป็นพวกปะเหลาะเก่งเสียด้วย ไหนจะความเห็นใจที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกลอีก ชื่นจิตเลยเห็นไทโรนเป็นเหมือนลูกชายอีกคน
ณัฐนนท์เองก็เห็นไทโรนเป็นเหมือนพี่ชาย เพราะตอนเขาเรียนอยู่อเมริกาก็นับว่าร่วมหัวจมท้ายกันมา แต่บางทีเขาก็หมั่นไส้เพื่อนจนอยากถีบแรงๆ สักที!
“ไปเลือกผลไม้ไป จะเอาอะไรกลับไปกินก็หยิบเอา”
“เออ ใช่ มะม่วง” หนุ่มอเมริกันทำท่านึกขึ้นได้แล้วเดินข้ามไปยังอีกฝั่งของห้องซึ่งมีตะกร้ามะม่วงวางอยู่ทันที
ไทโรนชอบผลไม้เมืองร้อน ยิ่งได้มาเมืองไทยแล้วค้นพบว่าหลายอย่างอร่อยกว่าตอนซื้อกินที่อเมริกาก็ยิ่งติดใจ บ้านของชื่นจิตอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ก็จริง แต่ก็อยู่แถบนอกเมืองซึ่งยังมีสวนผลไม้ พวกเพื่อนบ้านมักเอาผลไม้จากสวนของตัวเองมาแบ่งปัน เช่นเดียวกับชื่นจิตที่มักจะเอาขนมทำเองไปฝาก
พ่อของณัฐนนท์เสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเล็ก เรียกได้ว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเลยนอกจากที่เห็นในรูปถ่าย แม่เลี้ยงเขามาคนเดียว ชื่นจิตเป็นแม่ค้าขายขนม สมัยเด็กเขาเองก็ช่วยแม่ทำขนมบ่อยๆ บางช่วงก็มีชุดาซึ่งเป็นพี่สาวของแม่มาอยู่ด้วย แต่ครั้งไหนจะอยู่นานเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับชีวิตส่วนตัวของอีกฝ่าย จนกระทั่งช่วงที่เขาเรียนจบปริญญาโทที่อเมริกา ชุดาจึงย้ายมาอยู่กับน้องสาวเป็นการถาวรเนื่องจากสามีเสียชีวิต ลูกก็ไม่มี ป้าเป็นคนค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการ แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้เลวร้าย ปัจจุบันนอกจากเลี้ยงแม่แล้วเขาเลยเลี้ยงป้าด้วย ซึ่งเขาก็เต็มใจเพราะถือว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ช่วยเลี้ยงดูเขามา ที่สำคัญชื่นจิตจะได้มีเพื่อนด้วยในเมื่อเขาแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพัง
ชีวิตในวัยเด็กของชายหนุ่มค่อนข้างลำบาก แม้จะไม่ถึงขั้นอดมื้อกินมื้อ ทว่าก็ต้องประหยัดมัธยัสถ์อย่างยิ่ง เขาจึงพยายามตั้งใจเรียนเพื่อที่จะได้มีอนาคตที่ดี โชคดีที่ความถนัดและความชอบทางด้านวิทยาศาสตร์พาเขาไปได้ไกล ที่สำคัญคือมันพาเขาไปพบมิตรดีๆ หลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือไทโรน
ตอนที่เขาเริ่มเรียนปริญญาโท ไทโรนเป็นรุ่นพี่อยู่ก่อนแล้วหนึ่งปี พอคุยกันถูกคอบวกกับเรียนในสาขาวิชาที่ส่งเสริมกัน อีกฝ่ายจึงดึงเขาเข้าไปร่วมโครงการวิจัยที่ทำอยู่ แรกสุดเขาคิดว่ามันเป็นการหารายได้พิเศษทางหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงมันกลับพาเขาไปไกลกว่านั้นมาก
โครงการวิจัยนั้นเกี่ยวกับการนำอินซูลินมาบรรจุในแคปซูลยา เพื่อที่คนไข้เบาหวานจะได้สามารถกินแคปซูลอินซูลินแทนการฉีด งานวิจัยนี้กินระยะเวลายาวนาน จนมาสำเร็จในการทดลองกับสัตว์ตอนที่เขาใกล้จบปริญญาเอก ด้วยความที่เป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการจึงต้องการการพัฒนาต่อยอดอีกมากหากจะเอาไปใช้กับคน แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของบริษัทยายักษ์ใหญ่ได้ นอกจากจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนโตแล้ว พวกเขายังได้รับการว่าจ้างให้ร่วมพัฒนาแคปซูลอินซูลินนี้ต่อ เขาตอบรับและเข้าไปทำงานในบริษัทยา แต่อยู่ได้ไม่นานเพราะรู้สึกว่าไม่ชอบ สุดท้ายเลยย้อนกลับมาทำงานในสายการศึกษาพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาไทยตามความตั้งใจเดิม