ณัฐรัมภาหันไปมองคนถาม ตั้งแต่วันที่แลกมือถือคืนพอได้คุยกันทีไรเขาก็มักจะตั้งท่าอยากชวนเธอไปโน่นมานี่ตลอด ขนาดนัดเจอกันเรื่องงานก็ยังทำท่าจะชวนเธอไปกินข้าวต่อ แต่เธอก็คิดว่าเขาคงแค่หยอกๆ ตามประสา เพราะดูทรงแล้วเขาก็แพรวพราวไม่ใช่เล่น ยิ่งทำงานให้เขาก็คงต้องเจอกันอีกหลายหน จะตัดรอนก็ไม่ใช่ทางของเธอเสียด้วย ถ้าไม่หนักหนาจริงๆ เธอจะยึดคติว่าทุกคนที่ผ่านเข้ามาคือคอนเน็กชั่น เผื่อถ้าเขามีเพื่อนที่อยากได้มัณฑนากรก็อาจแนะนำเธอก็ได้ ดังนั้นเธอเลยปล่อยให้เขาหยอดใส่ไปเรื่อยๆ คิดเสียว่าเพลินๆ ยามโสด อย่างน้อยชายหนุ่มก็ไม่ใช่พวกน่ารำคาญหรือพวกที่จีบสาวด้วยมุกเห่ยๆ
“มีนัดกินข้าวกับครอบครัวค่ะ” หญิงสาวโปรยยิ้มไปให้เขาพร้อมคำตอบ จากนั้นก็หยิบมือถือขึ้นมากดเปิดหน้าจอดูนาฬิกา “เดี๋ยวฉันคงต้องไปแล้วล่ะ เพราะต้องขับรถออกนอกเมือง”
ปกติแล้วเธอกลับบ้านแค่เดือนละหนสองหน เมื่อสัปดาห์ก่อนเธอเพิ่งกลับไป ถ้าเป็นปกติสัปดาห์นี้เธอก็คงเอาเวลาไปทำอย่างอื่น ทว่าพอดีเธอตกลงรับงานของจตุภูมิไว้ ปรพลที่ทำตัวเป็นนายหน้าเลยจัดแจงนัดเพื่อนไปเจอกับเธอที่บ้าน…อันที่จริงเธอคิดว่าไปเจอกันที่อื่นก็ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้คัดค้าน
“แสดงว่าความจริงบ้านคุณอยู่นอกเมืองแต่มาซื้อคอนโดฯ อยู่ในเมืองใช่ไหม” ณัฐนนท์ถาม พอได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้าเขาก็พูดต่อ “งั้นก็เหมือนผมเลย ความจริงบ้านผมอยู่ชานเมืองโน่น ฝ่ารถติดเข้าเมืองไม่ไหวเลยต้องมาเช่าห้องในเมืองอยู่”
“แล้วแบบนี้จะมีคนในครอบครัวมาพักที่บ้านใหม่ของคุณด้วยไหมคะ” ณัฐรัมภาถามแล้วยืดตัวนั่งตรงเพื่อเก็บรวบรวมข้าวของใส่ถุงผ้า
เขาไม่เคยพูดถึงครอบครัวมาก่อน เมื่อเอ่ยขึ้นมาแบบนี้เธอก็ต้องถามเขาให้ชัดเจน เพราะการออกแบบตกแต่งภายในต้องคิดคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยของเจ้าของบ้านอย่างรอบด้าน
“แม่ไม่มาอยู่กับผมหรอก ท่านไม่ชอบบ้านหลังนี้เลย แถมบอกว่าบ้านเหมือนยังสร้างไม่เสร็จด้วย มันโมเดิร์นไปสำหรับท่านน่ะ” ชายหนุ่มพูดไปหัวเราะไป
“ผู้ใหญ่บางคนก็ไม่ชอบพวกบ้านโมเดิร์นลอฟต์แบบนี้” เธอไม่แปลกใจ เพราะเคยอยู่ร่วมในเหตุการณ์การปะทะกันของคนสองรุ่นที่มีความเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับดีไซน์ของบ้านมาแล้ว
“นั่นแหละครับ แต่ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรนะที่ผมจะซื้อ เพราะมันเป็นบ้านของผม ยังไงคุณไม่ต้องห่วงนะว่าจะเกิดเหตุการณ์ประมาณว่าแม่ผมบุกมาบอกให้คุณออกแบบห้องรับแขกใหม่หรืออะไรทำนองนั้น”
“ดีแล้วค่ะ ฉันจะได้ไม่ต้องคิดเงินคุณเพิ่มเป็นค่ายาแก้ปวดหัว” ณัฐรัมภาหยอกแล้วขยับลุกยืน เขาเลยยันตัวลุกตาม
“คุณจอดรถไว้ที่ห้างใช่ไหม งั้นเดี๋ยวผมเดินไปส่งคุณที่รถนะ”
“รถคุณอยู่ที่ห้างเหมือนกันหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ก็ไม่ต้องตามไปส่งฉันก็ได้นะ” ดวงตาคู่สวยเจือไว้ด้วยความแปลกใจ
“วันนี้ผมไม่ได้เอารถมา แต่ผมว่างเพราะมีนัดกับไทโรนตอนเย็น คุณจำเขาได้ใช่ไหม นี่ต้องรออีกพักใหญ่เลยกว่าจะถึงเวลานัด ตอนแรกที่ผมถามก็เพราะคิดว่าจะชวนคุณไปจอยกันเนี่ยแหละ” ณัฐนนท์อธิบาย
“อ้อ” มัณฑนากรสาวพยักหน้ารับรู้ ขณะเดียวกันก็คิดว่าโชคดีที่เมื่อครู่ตอบไปตามปกติ ไม่ได้หยอกเย้าเขากลับให้ตัวเองหน้าแตก
“ผมว่าถ้าชวนคุณแบบมีไทโรนอยู่ด้วยก็อาจมีความหวังบ้าง อย่างน้อยก็น่าจะมากกว่าผมชวนคุณคนเดียว”
การขยายความที่ได้รับโดยไม่ได้ร้องขอทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วนิดหนึ่ง ความคิดเมื่อครู่ละลายหายไปในบัดดล
“วันที่เจอกันฉันก็เมาหน่อยๆ ด้วยสิ แต่เท่าที่จำได้เพื่อนคุณก็หล่อน่ารักน่าสนใจดีนะ ฉันว่าน่าทำความรู้จักอยู่เหมือนกัน”
“อืม งั้นเดี๋ยวผมจะพยายามชวนคุณไปกินข้าวแบบไม่มีไทโรนพ่วงต่อไปแล้วกัน” ณัฐนนท์บอกยิ้มๆ
สาวสวยเพียงยิ้มโดยไม่ตอบ เลือกจะทำนิ่งๆ เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ต่อไป ขณะเดียวกันก็ชักสงสัย…นี่เขาจะจีบเธอจริงๆ หรือแค่หมาหยอกไก่เนี่ย