“คุณรัมภา”
หญิงสาวหันตามเสียงเรียก แล้วเธอก็ทำตาโตเมื่อเห็นณัฐนนท์ยืนอยู่ แต่ยังไม่ทันพูดอะไรอีกฝ่ายก็ทำท่านึกขึ้นได้
“อ้อ ผมนึกออกแล้ว คุณเคยบอกว่าออฟฟิศอยู่แถวนี้”
“ใช่ค่ะ แล้วคุณมาทำอะไรแถวนี้…อย่าบอกนะว่าคุณทำงานอยู่ใกล้ๆ เหมือนกัน”
“เปล่าครับ ผมมางานสัมมนาที่โรงแรมตรงปากซอย มันจัดบ่ายสอง ผมเลยว่าจะมาหาอะไรกินก่อน เพื่อนผมเคยทำงานแถวนี้บอกให้ไปกินที่โรงอาหารของกรมอะไรสักอย่างตรงนั้น แต่ผมไปแล้วแทบไม่มีอะไรเหลือให้กิน เขาเลยบอกให้เดินมาตรงนี้แทน” ชายหนุ่มชี้มือชี้ไม้ประกอบ “ตอนแรกผมเกือบหาไม่เจอแล้ว พอดีเห็นคนกลุ่มนึงเดินเลี้ยวเข้าซอกตึกพอดีเลยตามมา…น่าจะกลุ่มของคุณนี่แหละมั้ง”
“ร้านนี้ต้องคนแถวนี้ถึงจะรู้จัก” ณัฐรัมภาพยักหน้ารับ
“แล้วมีเมนูอะไรแนะนำไหมครับ”
“ร้านนี้ก็อร่อยหมดแหละค่ะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับหันไปโปรยยิ้มหวานส่งให้เจ๊เขียว อดคิดไม่ได้ว่าเขาก็ช่างถามต่อหน้าแม่ค้า ถ้าเธอตอบไม่ดีมีหวังโดนร่อนจานใส่
“นี่คุณกำลังจะสั่งอะไรเหรอ”
“ฉันกำลังลังเลระหว่างข้าวผัดขี้เมาไข่เจียวหรือข้าวผัดกะเพราปลาหมึก…อืม ตกลงเอาเป็นข้าวผัดกะเพราปลาหมึกแล้วกันค่ะเจ๊” ประโยคหลังเธอพูดกับเจ้าของร้าน จู่ๆ ก็ตัดสินใจได้ขึ้นมาเสียเฉยๆ
“งั้นผมเอาข้าวผัดขี้เมาไข่เจียว” ณัฐนนท์เลือกเมนูง่ายๆ
มัณฑนากรสาวมองหน้าเขาแล้วเลิกคิ้ว แต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มขันเท่านั้น
“คุณมากับเพื่อนที่ทำงานใช่ไหม” ชายหนุ่มเปิดบทสนทนาอีกครั้ง
“ค่ะ” ณัฐรัมภาหันไปมองกลุ่มรุ่นน้อง ทั้งสามกำลังมองมาทางเธอเหมือนกัน “แต่เดี๋ยวฉันนั่งกินข้าวกับคุณก็ได้ค่ะ คุณจะได้ไม่ต้องนั่งกินคนเดียว”
“ไม่ต้องก็ได้ ผมเกรงใจ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณเคยบอกให้ฉันเลี้ยงข้าวทั้งขอโทษและขอบคุณไง แล้วก็จะได้คุยงานด้วยเลย ทีเดียวคุ้ม” เธอบอก จากนั้นก็เดินไปบอกแก๊งรุ่นน้องว่าบังเอิญเจอเพื่อนเลยจะไปนั่งกินข้าวกับอีกฝ่าย
ณัฐนนท์ค้อมศีรษะให้เพื่อนร่วมงานของหญิงสาวเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะเดินตามเธอไปนั่งที่อีกโต๊ะซึ่งอยู่ห่างออกมาพอสมควร
“ผมดีใจนะที่คุณจะมานั่งกินข้าวด้วย แต่คุณจะคุยงานกับผมจริงเหรอ”
“จริงสิคะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว เสาร์อาทิตย์นี้คุณจะได้มีเวลาว่าง ไม่ต้องมาเจอฉันไง”
สุดสัปดาห์นี้ณัฐรัมภามีนัดส่งงานร่างแรกให้อีกฝ่าย โดยเธอเสนอว่าจะส่งลิงก์ให้เขาไปเปิดดู เขาตกลงแต่ก็บอกว่าถ้ามีจุดต้องแก้ไขเยอะอาจจะขอนัดเจอเธออีกที เพราะเขาไม่ถนัดการคุยรายละเอียดสำคัญๆ ทางโทรศัพท์ เหตุผลนี้ก็พอเข้าใจได้ เนื่องจากเธอเคยเจอลูกค้าที่ใช้คำพูดสื่อสารไม่ตรงกับที่ใจคิดอยู่บ้าง แต่นึกไปนึกมาเธอว่าเจอเขาบ่อยไปก็คงไม่ดี ไม่ใช่กลัวหวั่นไหว ทว่าในเมื่อเขาแสดงท่าทีแบบนี้เธอจึงคิดว่าเรื่องไหนเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาภายหลัง
“คุณทำงานร่างแรกเสร็จแล้วเหรอ” ณัฐนนท์เลิกคิ้วถาม
“ยังไม่เสร็จทั้งหมดหรอกค่ะ แต่มันก็พอมีอะไรให้คุณคอมเมนต์ได้แล้วแหละ”
“ผมทำให้คุณอึดอัดหรือเปล่า”
คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินทำให้หญิงสาวซึ่งกำลังหงายแก้วและรินน้ำจากเหยือกต้องเหลือบไปมองคนถาม เธอพบว่าเขากำลังมองตรงมาอย่างจริงจัง ซึ่งเธอก็ตัดสินใจตอบกลับไปตรงๆ
“ก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ แต่ถ้ามีอะไรมากกว่านี้ก็ไม่แน่”
“ผมขอโทษนะ” ณัฐนนท์ระบายลมหายใจ “ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณอึดอัดหรือรู้สึกแย่…ตั้งแต่กลับมาอยู่ไทยผมไม่เคยเจอใครที่คิดว่าน่าสนใจเหมือนคุณ ผมเลยอยากรู้จักคุณ”
“ฉันถือว่านี่เป็นคำชมนะ” ณัฐรัมภายิ้ม “แต่คุณไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ อย่างที่บอกแหละว่าฉันยังไม่ได้รู้สึกอึดอัด และถ้าอึดอัดเมื่อไหร่ฉันจะพูดแน่ๆ ต่อให้คุณเป็นลูกค้าของฉันก็เถอะ”
“แต่เราเป็นเพื่อนกันได้ใช่ไหม”
“ชัวร์สิคะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ คุณคุยสนุกออก” หญิงสาวก้มลงเปิดกระเป๋าสะพายเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ พอเงยหน้าขึ้นมาแล้วเธอก็ส่งยิ้มให้เขาอีกรอบ “และดูท่าทางคุณไม่ใช่คนเรื่องมากด้วย”
“นี่คุณกำลังกดดันไม่ให้ผมขอแก้งานเยอะหรือเปล่าเนี่ย”
“ฉันเป็นมืออาชีพนะคะ การที่ลูกค้าขอแก้งานเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ฉันจะกดดันลูกค้าได้ไง”
ณัฐรัมภาทำตาโตและใช้เสียงสูงกว่าปกติหนึ่งคีย์ในแบบที่ดูก็รู้ได้ทันทีว่าแกล้งทำ จากนั้นเธอก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะก้มลงกดมือถือครู่หนึ่งแล้ววางมันลงบนโต๊ะพร้อมหันหน้าจอให้เขาดู
“อันนี้คือห้องรับแขกค่ะ”
“นี่ผมแค่ตั้งใจจะมาหาข้าวกินเฉยๆ นะเนี่ย” ณัฐนนท์หัวเราะเหมือนขำไปด้วย จากนั้นเขาก็ก้มลงเพ่งพินิจภาพบนหน้าจอ
หญิงสาวปล่อยให้เขาลากนิ้วซูมเข้าซูมออกเพื่อดูภาพให้ชัด ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้นเพื่อรวบผม บังเอิญเหลือบไปเห็นว่าสุรทินกำลังมองมา พอได้สบตากันเขาก็ทำท่าชี้ไปที่ณัฐนนท์แล้วขยับปากแบบไม่มีเสียง ซึ่งเธอก็พอเดาได้ว่าเขาน่าจะจำได้ว่าอีกฝ่ายคือชายหนุ่มคนที่เคยเจอกันในร้านอาหารกึ่งผับ
ปกติเห็นความจำสั้นจนเกือบเสื่อมอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ไหงคราวนี้ถึงจำได้…ไอ้หมูยิ่งปากมากแถมซอกแซกอยู่ด้วยสิ ขี้เกียจเล่าจัง