1
10 ปีที่แล้ว
เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
เพล้ง!
เสียงแก้วซึ่งบังเอิญถูกปัดร่วงก้องไปทั่วร้านอาหารตามด้วยการสะอื้นฮึกฮักของเด็กหญิงตัวน้อย เรียกให้บริกรสาวรีบเข้าไปกวาดเสี้ยวเศษแหลมใสที่กระจัดกระจายด้วยกลัวจะเป็นอันตราย ก่อนหันไปยิ้มรับคำขอบคุณของแม่เด็กก่อนเปลี่ยนแก้วให้อย่างคล่องแคล่ว เธอเคยชินแล้วกับการรับมือเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรสักนิด
เสียงฟ้ากระหึ่มแทรกผ่านมาเป็นระยะท่ามกลางเงาอึมครึม ตอนที่มาลารินเดินกลับไปเช็กออเดอร์สุดท้ายในครัวพอดี
หญิงสาวผินหน้าไปมองถนนบรรยากาศสีหม่นด้านนอก ก้อนเมฆหนักๆ ทำให้พลบค่ำยิ่งดูสลักสลัวกว่าปกติ และไฟจากป้ายหน้าร้านก็คล้ายจะกะพริบไปแวบหนึ่ง…อาจตาฝาด หรือวงจรขัดข้อง หรือเพราะฝนใกล้ตก ดูเป็นไปได้ทั้งสิ้น
“ลูกค้าทำแก้วแตกอีกแล้วเหรอลี”
เสียงเบื่อหน่ายหลังเคาน์เตอร์บาร์ติดจะบ่นมากกว่าถามจริงๆ เรียกความสนใจของหญิงสาวกลับมายังพี่ปิ่น ผู้เป็นทั้งเจ้าของร้านอาหารไทยและเจ้านายของเธอ ก่อนจะเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยื่นใบหน้าแหลมเหมือนแมววิเชียรมาศเหม็นโลกออกไปส่องเหตุการณ์ภายในร้านแวบหนึ่ง แล้วค่อยหันกลับมาออกคำสั่งอย่างเคยชิน
“นี่ คิดค่าแก้วลงในบิลด้วยนะ ช่วงนี้ยิ่งขายไม่ค่อยดีอยู่ นี่ ลี ได้ยินที่พี่พูดไหม”
“ลีวางบิลไว้ให้ตรงเคาน์เตอร์แล้วค่ะ”
มาลารินกล่าวตัดบทสนทนาพลางยกอาหารออกไป แค่การเป็นเด็กเสิร์ฟคนเดียวในร้านก็ทำให้เธอหัวหมุนมากพอแล้ว และพี่ปิ่นเองก็ว่างเกินกว่าจะมาผลักงานง่ายๆ อย่างการเฝ้าเคาน์เตอร์แคชเชียร์ของตนให้คนอื่นทำอีก หญิงสาวลอบมองหยาดฝนที่กำลังเริ่มร่วงหล่นลงเป็นสายด้านนอกอีกครั้ง หยดพราวไหลลู่ผ่านใบไม้ซึ่งเริ่มเปลี่ยนสีตามฤดูกาลใหม่จนเปียกปอน…ฤดูร้อนใกล้จะสิ้นสุดแล้ว
แกร๊ง
เสียงผลักประตูก่อนที่ชายหญิงวัยรุ่นคู่หนึ่งจะเดินเข้ามาในร้าน พร้อมกับมาลารินซึ่งรีบหันไปเอ่ยต้อนรับทันทีแล้วได้ให้ชะงักงันชั่วขณะ เธอกะพริบตาปริบๆ อีกสองครั้งจึงค่อยปรับสีหน้ากลับมายิ้มแย้มอย่างแยบยล กลับเป็นฝ่ายเด็กสาวอีกคนต่างหากที่แสดงอาการประหลาดใจจนออกจะลุกลนชัดเจน
มาลารินทบทวนความทรงจำในหัวอย่างเงียบงัน เธอไม่มีทางลืมเจ้าของบุคลิกหรูหราอย่างลูกเศรษฐีทุกกระเบียดกับใบหน้าไร้ที่ติดูนุ่มนิ่มเหมือนขนมสายไหมนี่ได้…ใช่ นิสัยชวนระอานั่นก็ด้วย
“ไม่ได้เจอกันนานนะคะ”
มาลารินทักทายพลางวางเมนูลงบนโต๊ะ แจกยิ้มเป็นมิตรอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง กลับเป็นอีกฝ่ายที่ส่งสายตาไม่ชอบใจก่อนสะบัดหน้าพรืด หล่อนไม่เอ่ยอะไรซ้ำยังยกเรียวแขนขาวผ่องขึ้นกอดอกด้วยท่าทีแสดงอาการต่อต้าน
“รู้จักเหรอเกล”
เด็กหนุ่มที่มาด้วยกันเอ่ยถามด้วยท่าทางอย่างคนขวางโลก ดวงตาสีเทาประหลาดเบนมาทางมาลารินเพียงแวบสั้นๆ แล้วไม่ได้สนใจอีก และก็เป็นตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งสังเกตว่าเขาไม่ใช่ชาวต่างชาติอย่างที่เข้าใจตอนแรก อย่างน้อยสำเนียงภาษาไทยนั่นก็ชัดเจนดี แม้จะดูไม่เป็นมิตรไปสักหน่อย
“ไม่รู้สิคะ จำหน้าไม่ได้” เกลหรือเกวราไหวไหล่อย่างไร้แยแส หล่อนช้อนดวงตาคู่โตขึ้นมามองบริกรสาวอีกครั้งเพียงเพื่อจะทำให้ง้ำงอดกว่าเดิม “เกลไม่อยากกินแล้วค่ะวิน”
“เกลบอกเองไม่ใช่เหรอว่าอยากกินอาหารไทย”
“งั้นเปลี่ยนร้าน…”
“ผมไม่อยากวนรถซ้ำซาก”
เด็กหนุ่มตัดบทสนทนาแค่นั้นก่อนก้มมองเมนูอาหารแล้วสั่งอย่างรวดเร็ว บ่งบอกชัดเจนว่าไม่คิดจะตามใจ
มาลารินจดออเดอร์มือเป็นระวิง เธอไม่ได้สนใจจะทักทายเกวราอีกในเมื่ออีกฝ่ายบอกเองว่าจำหน้าเธอไม่ได้…ก็ดีแล้ว หญิงสาวรำพึงในใจ ไม่อย่างนั้นคงได้ให้กระอักกระอ่วนกันทั้งสองฝ่าย…