10 ปีที่แล้ว
เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย
ท้องฟ้ายังคงเป็นสีดีบุกสลักสลัวตอนที่มาลารินเดินลากขาออกมาจากห้องนอน เธอหาวหวอดใหญ่ เรือนผมประบ่าฟูยุ่งไม่เป็นทรงพร้อมกับอาการปวดตุบๆ ราวมีเสียงขบวนรถไฟหูดครวญอยู่ในหัว และความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นถังหมักไซเดอร์เคลื่อนที่ อุ้ยอ้ายจากการบรรจุภาพทรงจำกระท่อนกระแท่นจากเมื่อคืน
…เธอไปดื่มฉลองวันเกิดพี่ภพ…พี่ประณตเจอเกวรา และ…อะไรต่อนะ อา…ก็เป็นพี่ประณตอีกนั่นแหละที่ขับรถมาส่ง แล้วกวินล่ะ อ้อ จำได้ว่าทำหน้าขมึงทึงกลับมาไล่ๆ กัน…
หญิงสาวสะบัดหัวเบาไล่ก้อนขมุกขมัวเหล่านั้น คว้าเสื้อคลุมตัวยาวเดินกอดตัวเองออกไปยังสวนหลังบ้าน สูดหายใจรับไอของท้องฟ้าทึบเทาไร้ละอองแดดเข้าเต็มปอด ก่อนเดินไปหยิบไม้กวาดเพื่อจัดการใบไม้กองโตบนพื้นหญ้าอย่างขะมักเขม้นโดยมีแม็กโนเลียต้นใหญ่ทยอยปลิดใบร่วงใส่ไม่ขาดสาย หากเธอไม่ทำก็คงไม่มีใครทำ แล้วใบไม้พวกนี้ก็จะทับถมกันเต็มสวนหลังบ้านอย่างกับฉากหนังฆาตกรรมในฤดูหนาวที่กำลังมาถึง มาลารินกวาด กวาด และกวาดอยู่เช่นนั้นราวเครื่องจักร แล้วเผลอจมความคิด ลอยเหม่อออกไปถึงเรื่องราวที่ไม่ใช่ของตัวเอง
เธอนึกถึง…รอยยิ้มจนใจของพี่ประณต สายตาระแวดระวังของเกวรา และท่าทีกระด้างกระดางลางแบบที่พร้อมต่อยตีกับคนทั้งโลกของกวิน
…ช่างเป็นรักสามเส้าที่ชวนอิหลักอิเหลื่อดีแท้
ในฐานะของผู้ชมเหตุการณ์อยู่ห่างๆ หญิงสาวก็ได้แต่ปลงใจว่าตนช่างโชคดีเหลือเกินที่ไม่ต้องสัมผัสโชคชะตาอันยุ่งเหยิงกับมีแต่จะกร่อนหัวใจให้ร้าวรานเช่นนี้…มาลารินคิดเช่นนั้นจริงๆ ตอนที่เธอยังเป็นอิสระจากเงื้อมมือของความเจ็บปวด…
ลมหนักไอชื้นวูบหนึ่งพัดผ่านร่างระหงไปอย่างช้าๆ อีกครั้ง ก้อนเมฆเบื้องบนปกคลุมจนมองไม่เห็นรอยต่อระหว่างขอบฟ้า หอบพาแต่ความหนาวที่มีแต่จะมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายต้องวางงานในมือลง ก่อนกอดตัวเองวิ่งกลับเข้าบ้านแล้วปล่อยให้แม็กโนเลียนั่นพลิ้วใบเหลืองแห้งต่อไปอย่างเดียวดาย
…เพียงเพื่อจะเห็นว่าร่างสูงคุ้นตากำลังเดินควงกุญแจรถลงมาจากชั้นสองพอดิบพอดี และทำให้หญิงสาวอดเอ่ยถามไม่ได้
“ไปไหนอะ”
“ยุ่ง”
โอเค…เป็นคำตอบที่ไม่ชวนให้แปลกใจสักเท่าไหร่
“ไม่แฮงก์เหรอ”
“ไม่ต้องมาทำเป็นสนใจฉัน”
คราวนี้เหมือนว่ามาลารินจะเกือบจับความผิดปกติบางอย่างในน้ำเสียงได้ แต่ก็แค่เกือบเท่านั้น หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ พลางเผลอมุ่นคิ้วโดยไม่รู้ตัว
“พูดอะไรแปลกๆ…พรุ่งนี้มีเรียนเช้า อย่ากลับดึกมากนะ”
“ไม่ต้องมาสั่ง เพราะฉันไม่ทำตามอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มตอบพลางไหวไหล่อย่างไร้แยแส ดวงตาสีเทาฉายประกายทระนงกึ่งจะดื้อดึงด้วยทิฐิบางอย่างที่มาลารินไม่เข้าใจ หรือเพราะยังเช้าอยู่อารมณ์สูงต่ำพวกนั้นก็เลยยังไม่เข้าที่เข้าทาง หนำซ้ำกวินก็ไม่ใช่คนใจเย็นอะไรอยู่แล้วในสายตาเธอ ก็…คงจะเป็นเช่นนั้นกระมัง
“อย่าพูดอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้สิ ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย”
ใช่ ก่อนที่ทั้งสองจะบังเอิญเจอกันเมื่อคืนนี้หญิงสาวคิดว่าช่วงที่ผ่านมาอีกฝ่ายลดท่าทีต่อต้านลงไปอักโขแล้ว เมื่อเห็นอาการแข็งกร้าวราวเป็นศัตรูกับโลกทั้งใบรวมไปถึงตน หรือกระทั่งตัวเขาเองด้วยจึงอดจะสงสัยไม่ได้ มาลารินคิดว่าเมื่อคืนไม่มีใครทำอะไรให้เขาหงุดหงิดแม้แต่น้อย หรือแม้แต่เหตุการณ์การเจอกันระหว่างรักสามเส้ากระอักกระอ่วนที่ลอบกังวลใจอยู่นักหนาก็ยังผ่านไปได้ด้วยดีเกินคาด เธอออกจะปล่อยอิสระและไม่เข้าไปวุ่นวายด้วยซ้ำ…หรือเขาจะทะเลาะกับเกวราตอนที่เธอโดนแอลกอฮอล์เปอร์เซ็นต์ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของไซเดอร์จู่โจมกันนะ
“นี่ อย่ากลับดึก…”
ปัง!
เสียงประตูปิดตัดคำโดยที่มาลารินยังไม่ทันได้จบประโยคด้วยซ้ำ ก่อนที่ทั่วทั้งบ้านจะเหลือแต่หญิงสาวและความว่างเปล่าซึ่งเคลื่อนที่ผ่านเธอไปอย่างเงียบงัน คนพูดอ้าปากหวอ ข่มกลืนอากาศและคำผรุสวาทลงคอ เอาเถอะ ใจเย็นก่อนนะลี…เอาไว้ก่อนแล้วกัน มาลารินกระซิบกับตัวเองในใจ วันนี้เธอเองก็มีเรียนไปจนถึงย่ำค่ำ กว่าจะถึงตอนนั้นหมอนั่นก็คงกลับบ้านแล้วกระมัง อย่างไรเสียระยะหลังมานี้เขาก็ไม่ได้ทำตัวมีปัญหานี่นา…