“นี่! คิดว่าตัวเองเป็นใครถึงมาเซ้าซี้วินแบบนี้” เกวราตั้งท่าขู่ฟ่ออย่างหมดความอดทนพร้อมเบียดพาตนเองเข้ามาในวงสนทนา “หรือคิดอะไรกับวินแล้วมาตามตื๊อ เจียมตัวบ้างเถอะ ฉันจะเรียกการ์ดจริงๆ ล่ะนะ”
คนถูกตำหนิผงะหงายกับถ้อยคำไม่ไว้หน้านั่น แต่กระนั้นเธอก็ยังเข้าใจความรู้สึกของเกวราจนโกรธไม่ลง…เป็นใครก็คงไม่พอใจที่มีผู้หญิงมาคอยวิ่งตามคู่ควงของตนทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ แม้บริบทของมาลารินจะแตกต่างจากที่อีกฝ่ายคิดไว้อย่างสิ้นเชิงก็ตาม เธอลอบระบายลมหายใจก่อนตวัดสายตาขึ้นไปจ้องเด็กหนุ่มทันที
“ยังไม่ได้บอกน้องเกลเรื่องฉันอีกเหรอ”
“อยากบอกก็บอกเองสิ” เขาว่าพลางไหวไหล่ ไม่ใส่ใจแม้จะเกี่ยวข้องกับตัวเอง
หญิงสาวกลอกตาให้อีกฝ่ายเห็นอย่างจงใจ…การที่มาลารินไม่ได้เอ่ยเรื่องรับจ้างดูแลกวินมีเหตุผลแสนง่ายดายเพียงว่าเธอต้องการไว้หน้าเขา เด็กหนุ่มอารมณ์ร้ายทำตัวขวางโลกคงไม่ชอบใจที่จะให้ใครต่อใครมารับรู้ว่าเขามีพี่เลี้ยงสักเท่าไหร่หรอก กระนั้นก็เถอะ ตอนนี้เธอประจักษ์แล้วว่ากวินไม่ได้มีท่าทีอินังขังขอบกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย
ใช่…เธอเข้าใจไปเช่นนั้น โดยไม่รู้ว่าความต้องการของเด็กหนุ่มเพิ่งจะผันแปรไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เธอหยุดใส่ใจเขา ละเลยและเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการลอบมองประณตราวห่วงใยเป็นนักหนา และคงอีกสักพักหลังจากนั้นกว่าที่มาลารินจะเข้าใจว่าแท้จริงแล้วกวินชื่นชอบการถูกประกบตามโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว…
“โอเค”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกหงัก สะกดกลั้นโทสะข้างในก่อนหันไปอธิบายแก่เกวรา ช้า ชัด เปี่ยมด้วยความอดทน
“จะห้ามไม่ให้ฉันคอยตามกวินไม่ได้หรอก เพราะฉันเป็นคนดูแลเขา”
“อะไร หมายความว่ายังไง” เด็กสาวสลับมองทั้งสองทันที
“ก็หมายความว่าฉันอยู่บ้านเดียวกันกับเขา และต่อแต่นี้ไปก็จะคอยจับตาดูอย่างใกล้ชิดไม่ว่ากวินจะทำอะไร ไปไหน กับใคร” เอาล่ะ ประโยคหลังดูจะมากไปหน่อย ขอยอมรับว่าพูดตามอารมณ์ ก็หวังว่าคนฟังจะไม่จับใจความมาคิดให้มากมาย เกวราดูจะไม่ใช่คนเก็บรายละเอียดขนาดนั้น
“น่ารำคาญ”
ร่างสูงพึมพำและมาลารินก็เพียงยักไหล่ด้วยคุ้นชินไปเสียแล้ว ขณะที่หญิงสาวอีกคนเริ่มแสดงอาการหัวเสียชัดเจน หล่อนพินิจใบหน้าแสนจะธรรมดาก่อนเหยียดแสยะ
“ประสาท…วินยอมได้ไงคะ”
“ก็ไม่ได้บอกว่ายอม แค่ขี้เกียจต่อปากต่อคำ รำคาญ”
กล่าวจบก็วางขวดเบียร์กลวงเปล่าลงบนโต๊ะ เป็นการบ่งบอกว่าเขาไม่คิดจะต่อบทสนทนาใดๆ อีก และคงหมดความสนใจต่อบาร์แห่งนี้ด้วยซ้ำหากจะว่าไป เมื่อร่างสูงก้าวเดินผ่านกลุ่มคนก่อนชะงักครู่สั้นๆ แล้วหันกลับมาหามาลารินด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายสุดแสน
“แล้วจะยืนทำไมอีก มาตามกลับไม่ใช่รึไง”
คนถูกเรียกค้างอยู่กับความงุนงงเพียงเสี้ยววินาที เธอกะพริบตาปริบ ขณะพยายามทำความเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดของค่ำคืนนี้ ครั้นเหลือบมองใบหน้าตกตะลึงของเกวราก็อับจนถ้อยคำปลอบโยนด้วยตนเองก็ไม่ได้เข้าใจแจ่มแจ้งสักเท่าไหร่ ก่อนจะสาวเท้าตามร่างสูงออกไปราวเงาตามติด สู่วูบผ่านของกลิ่นฝนรื้นรางที่เริ่มตั้งเค้ามาจากฝั่งอ่าวห่างไกล มาลารินรีบขยับก้าวจนเดินขนาบข้างชายหนุ่มพร้อมแบมือหราทันที
“เอากุญแจรถมา เดี๋ยวขับให้”
ดวงตาสีเทาควันบุหรี่ชำเลืองมองเพียงแวบสั้นๆ แล้วค่อยระบายลมหายใจซึ่งกลายเป็นไอสีจางท่ามกลางอากาศชื้นเย็น “ทำไมไม่ทำตัวแบบเมื่อคืนล่ะ จะกลับมาสนใจฉันทำไม”
“ไอ้เด็กบ้า เลิกพูดแบบนี้ซะทีได้มั้ย ไม่ให้สนใจนายแล้วจะให้ฉันไปสนใจใครล่ะยะ”
หญิงสาวอดแหวไม่ได้ ซ้ำยังเกือบจะฟาดเพียะไปยังแจ็กเก็ตหนังราคาแพงของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ เกือบจริงๆ หากชั่วขณะนั้นไม่พลันสบเข้ากับเงาอ้างว้างกึ่งกลางดวงตาที่ยังคงมองมา ก่อนรีบผินหน้าขึ้นไปมองคืนมืดไร้ประกายดาวแทน เพียงเพื่อจะกดข่มความรู้สึกราวกับเส้นด้ายบางใสกำลังค่อยๆ กรีดริ้วข้างในหัวใจอย่างเงียบงัน
“เฮ้อ ช่างเถอะ…กลับบ้านกัน”
บทสนทนาสิ้นสุดตรงคำว่าบ้าน แล้วความเงียบก็สยายปีกปกคลุมทั้งสองแผ่วเบา และมาลารินก็ไม่รู้ด้วยว่าคำอันแสนเรียบง่ายเช่นนั้นจะทำให้มุมปากของคนฟังกระตุกยกชั่วแวบราวภาพลวงตา…ทว่าความตื้นเขินของหญิงสาวในตอนนั้นทำให้เธอมองไม่เห็นร่องรอยเว้าแหว่งจากการกระทำของกวิน และไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งสองกำลังค่อยๆ ขยับใกล้ปากแอ่งล่มร้างสาหัสนั่นทีละเล็กละน้อย
(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มเดือน พฤศจิกายน 64)