สหายของท่านพ่อผู้นี้แซ่เฟิ่ง ท่านพ่อให้เขาเรียกว่า ‘ท่านลุงเฟิ่ง’ แต่กลับได้ยินท่านพ่อเรียกฝ่ายนั้นว่าจิ่นเฟิ่งหรือจิ่งเฟิ่งอะไรสักอย่าง เขาไม่แน่ใจนัก เอาเป็นว่าในเมื่อเป็นท่านลุงเฟิ่ง ลูกสาวของเขาก็น่าจะเป็นคุณหนูเฟิ่งล่ะ
แม้ว่าจะท่าทางไม่เหมือน ‘คุณหนู’ เลยสักนิดก็เถอะ
“คุณหนูเฟิ่ง เชิญกินได้เจ้าค่ะ” สาวใช้คีบลูกชิ้นกุ้งลูกหนึ่งให้นาง
เด็กหญิงยิ้มร่า ยื่นมือไปหยิบลูกชิ้นเข้าปากโดยตรง พูดพลางเคี้ยวตุ้ยๆ “สวัสดีพี่ชาย ข้าชื่อเฟิ่งเป๋าเป่า ท่านพ่อบอกว่าชื่อเป๋าเป่ามาจากคำว่าชือเป๋าเป่า* แล้วท่านล่ะ”
คิ้วงามของเด็กชายเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครกล้าใช้มือหยิบอาหารแบบนี้ แล้วเดี๋ยวจะล้างให้สะอาดอย่างไรกันล่ะ เขาอึ้งไปสักพักก่อนจะเอ่ยปากตอบว่า “ข้าชื่อมู่ชิง”
“พี่มู่ ข้ากินอีกลูกหนึ่งได้หรือไม่” เด็กหญิงชี้ไปที่ลูกชิ้นกุ้ง
“ข้าไม่ได้แซ่มู่” เขามองมือกับปากที่มันหยดของอีกฝ่ายแล้วรู้สึกขนหัวลุก เมื่อครู่นางว่านางชื่ออะไรนะ เป๋าเป่า? เหตุใดถึงมีชื่อพรรค์นี้ด้วย
“งั้นท่านแซ่อะไรล่ะ” นางมองเขา ดวงตากลอกไปมา
“ข้า…ช่างเถอะ เจ้าอยากกินอะไรก็คีบเอาเองเลย ไม่ต้องถามหรอก” แซ่ของเขาออกจะพิเศษอยู่สักหน่อย ท่านพ่อบอกว่าตอนกลับเป่ยจิงเขาจะชื่อว่าอ้ายซินเจวี๋ยหลัวมู่ชิง แต่ยามปกติให้ใช้แซ่ตามมารดา ชื่อว่าหลิ่วมู่ชิง ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ไม่ใช่พี่มู่แน่ๆ แต่เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อน เขาคิดว่าถึงจะอธิบายไป เป๋าเป่าอะไรนี่ก็คงฟังไม่เข้าใจหรอก
“ลูกชิ้นอร่อยจริง พี่มู่ไม่กินหรือ ยังเหลืออีกลูกหนึ่ง ข้าให้” นางดันจานมา จานส่งเสียงกระทบกันดังกริ๊ก
“ข้าอิ่มแล้วล่ะ” เขาวางถ้วยกับตะเกียบลง ทั้งถ้วยทั้งชามล้วนสะอาดเกลี้ยง แต่ไหนแต่ไรท่านพ่อของเขาไม่เคยชอบให้โต๊ะอาหารเลอะเทอะ เขาจึงไม่เคยทำข้าวหรือกับข้าวหกเรี่ยราด ท่านแม่ของเขาก็ไม่ชอบให้คนกินทิ้งกินขว้าง เขาจึงกินข้าวที่สาวใช้ตักให้หมดเกลี้ยงเสมอ ที่ผ่านมาเขากินแบบสะอาดสะอ้านและไม่ฟุ่มเฟือยมาตลอด ไม่เหมือนใครบางคน…
หลิ่วมู่ชิงมองดูคนตรงหน้าอย่างตะลึงงัน เฟิ่งเป๋าเป่าใช้ช้อนตักข้าวกินจนเม็ดข้าวติดเต็มแก้มไปหมด อีกมือหนึ่งก็หยิบลูกชิ้นกุ้งลูกสุดท้ายในจานขึ้นมา พยายามจะกัดเข้าปากที่ฟันหน้าหายไป
เขาอดไม่ได้ที่จะกระแอมกระไอแล้วบอกว่า “เจ้าทำข้าวหกเต็มไปหมดเลย”
เฟิ่งเป๋าเป่าชำเลืองมองเขาแล้วพูดเสียงอู้อี้ “ท่านพ่อบอกว่ายิ่งหกเยอะก็ยิ่งแสดงว่าอร่อย”
หลิ่วมู่ชิงอึ้งไป ประโยคนี้สมกับเป็นคำพูดของท่านลุงเฟิ่งจริงๆ ดูท่าทางท่านลุงเฟิ่งจะเป็นคนไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไร ระหว่างที่คิดเขาก็พูดว่า “พ่อเจ้าก็ทำการค้าด้วยหรือ”
“ทำการค้าคืออะไร” นางถามกลับ
ถามเช่นนี้แสดงว่าคงไม่ได้ทำการค้าสินะ หลิ่วมู่ชิงใช้วิธีถามใหม่ “งั้นพ่อเจ้าทำอะไรล่ะ”
“พ่อข้าก็เป็นพ่อข้าน่ะสิ ไม่งั้นจะเป็นอะไรได้เล่า” นางตอบราวกับเป็นเรื่องที่สมควรเข้าใจได้อยู่แล้ว แววตาฉายความสงสัยอย่างยิ่ง เหมือนรอฟังอยู่ว่าที่แท้แล้วพ่อของนางเป็นอะไรกันแน่
หลิ่วมู่ชิงกลอกตาเล็กน้อย ตัดสินใจไม่ถามเรื่องนี้ต่อ เพราะเขานึกขึ้นมาได้ว่าผู้ติดตามข้างกายท่านลุงเฟิ่งล้วนเรียกท่านลุงเฟิ่งว่าอาจารย์หรือไม่ก็นายท่านเฟิ่ง ดูลักษณะแล้วไม่เหมือนคนเป็นพ่อค้า แต่เหมือนนักเลงแห่งขุนเขาจำพวกนั้นมากกว่า เขาส่งสัญญาณให้สาวใช้รินชาหอมให้ แล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่มโดยไม่พูดไม่จา ดื่มไปได้ไม่กี่คำก็สังเกตเห็นว่าเด็กหญิงตรงหน้าจ้องตนตาแป๋ว
“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือ” เขาหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับมุมปาก ซึ่งไม่มีอะไรถูกเช็ดออกมา
“พี่มู่ ไยท่านดื่มชาไม่มีเสียงเลยล่ะ” นางมองเขาอย่างฉงน “ท่านพ่อบอกว่าชายิ่งอร่อยก็ยิ่งต้องดื่มเสียงดัง หรือว่าชาถ้วยนี้ของท่านไม่อร่อย”
“อร่อย แต่ข้าไม่อยากส่งเสียง” ชาเบญจมาศขาวถ้วยนี้คุณสมบัติพอจะเป็นชาถวายฝ่าบาทได้ด้วยซ้ำ จะไม่อร่อยได้อย่างไร
“ข้าก็อยากดื่มด้วย! พี่สาวขอชาอย่างนี้ให้ข้าด้วยได้หรือไม่” นางหันหน้าที่เต็มไปด้วยเม็ดข้าวไปขอชากับสาวใช้
สาวใช้คนนั้นเห็นท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนางก็เม้มปากยิ้ม รินชาให้นางถ้วยหนึ่งและไม่ลืมกำชับว่า “ร้อนหน่อยนะเจ้าคะ คุณหนูเฟิ่งค่อยๆ ดื่ม ระวังลวกปาก”
นางได้ยินดังนั้นก็ทำปากจู๋ตั้งหน้าตั้งตาเป่าอยู่สักพัก จากนั้นก็ไม่ได้ยกถ้วยขึ้นมา แต่ยื่นคอจนปากไปจรดขอบถ้วยแล้วสูดน้ำชาเสียงดัง “ซู้ด” เข้าไปหลายอึก
หลิ่วมู่ชิงไม่เคยเห็นเด็กหญิงที่ไหนดื่มชาอย่างเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นทั้งตกใจและกระอักกระอ่วน
“อร่อยมากเลย! เมื่อครู่เห็นท่านดื่มนึกว่ารสแย่เสียอีก” นางพ่นลมเสียงดัง “ฮ้า” ออกมาอย่างสดชื่น เดิมทีจะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปาก แต่จู่ๆ ก็หยุด รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าเนื้อดีที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเช็ดปากอย่างเรียบร้อยเลียนแบบกิริยาของหลิ่วมู่ชิงเมื่อครู่