เสิ่นหลินมองรอยยิ้มที่สดใสมีชีวิตชีวานั้นด้วยสายตาเหม่อลอย
แต่ก่อนเขาเคยคิดว่าคนที่งดงามที่สุดในโลกนี้คือมารดาของเฟิ่งเป๋าเป่า แน่นอนว่าเป๋าเป่าไม่ใช่ไม่งาม แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็น่าจะจัดเป็นอันดับสองมากกว่า ทว่าในช่วงหลายปีมานี้เขารู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป๋าเป่ามีแนวโน้มจะนำหน้าผู้อาวุโส ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับการที่นางยืดตัวสูงขึ้นและรูปร่างผอมลงหรือไม่
เสิ่นหลินเหม่อมองเงาร่างที่อยู่เบื้องหน้า เฟิ่งเป๋าเป่ายังคงไม่จัดว่าผอม แต่ก็ไม่อาจบอกว่านางอ้วนแน่ๆ อันที่จริงเขารู้สึกว่าแบบนี้งดงามดีอยู่แล้ว คนโบราณกล่าวไว้ว่าอย่างไรนะ…อ้อ อ้วนผอมประสานดี! เสิ่นหลินยิ้มโง่ๆ อยู่พักหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่าจะต้องตามไป แต่เพิ่งจะก้าวเท้าก็ได้ยินเสียงเยาะหยันที่ไม่น่าฟังดังขึ้นด้านหลัง
“เสิ่นจอมเหม่อ”
เสิ่นหลินชะงัก หันกลับไปมองคนข้างหลังอย่างขุ่นเคืองแล้วกดเสียงต่อว่า “อู๋จื่อเฉียว แน่จริงเจ้าก็ด่าต่อหน้าสิ เหตุใดต้องรอให้ศิษย์น้องไปแล้วถึงค่อยมาลอบโจมตีคนล่ะ?!”
อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แยแส แล้วฉวยโอกาสวิ่งตามเฟิ่งเป๋าเป่านำไปก่อน เสิ่นหลินเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามทันที
เสิ่นหลินกับอู๋จื่อเฉียวเป็นศิษย์ของสกุลเฟิ่ง คนแรกนั้นอยู่ในอันดับที่แปด ส่วนคนหลังอันดับที่เก้า
สกุลเฟิ่งเดินทางมาตั้งถิ่นฐานในตำบลเล็กๆ ที่ถือว่าเจริญรุ่งเรืองแห่งนี้เมื่อสิบห้าปีก่อน เริ่มแรกยังสร้างคฤหาสน์ขนาดใหญ่เอาไว้ในตัวตำบล แต่นายท่านสกุลเฟิ่งก็ซื้อที่ดินในป่าไว้ในขณะเดียวกัน และใช้เวลาสามปีก่อสร้างบ้านหลายหลังกระจัดกระจายในป่าบนภูเขาลึก
ได้ยินมาว่าช่างที่มาก่อสร้างตอนนั้นต่างกล่าวว่าบ้านของสกุลเฟิ่งสร้างได้อย่างแยบคายยิ่ง ทั้งลับสายตาทั้งสุขสบาย ภายในบ้านตกแต่งหรูหรางดงาม ภายนอกบ้านก็ล้วนมีทัศนียภาพงามตาทุกหนแห่ง เรียกได้ว่าเป็นวิมานอันสงบสุข แดนสวรรค์บนโลกมนุษย์โดยแท้!
เพียงแต่ว่าสกุลเฟิ่งนั้นช่างติดดินเหลือหลาย หลังจากย้ายเข้าบ้านใหม่ก็แทบไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอกเลย หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินว่ามีคนยากคนจนบางส่วนถูกขายเข้าไปทำงานในบ้านสกุลเฟิ่ง หรือเด็กๆ ไร้ที่พึ่งพิงที่ญาติขายมา สกุลเฟิ่งก็รับเป็นศิษย์ทั้งหมด นอกจากทำงานแล้วก็ยังได้ร่ำเรียนหนังสือและฝึกวรยุทธ์ ทำให้คนไม่น้อยแย่งกันเข้ามาเจรจาอยากส่งบุตรหลานมาคารวะอาจารย์บ้าง ทว่าไม่มีใครได้เข้าไปทั้งนั้น ยกเว้นเสิ่นหลิน
“ศิษย์น้อง ข้าจับได้อีกตัวแล้ว!” เสิ่นหลินตะโกนอย่างดีใจพลางประคองนกขนแพรวพราววิ่งตรงไปหาเฟิ่งเป๋าเป่า
“เยี่ยมไปเลย!” เฟิ่งเป๋าเป่าดึงขนสองสามเส้นออกมาใส่ในถุงตาข่าย
เสิ่นหลินเป็นบุตรชายของเจ้าของที่ดินที่อยู่ถัดไป และเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของสกุลเฟิ่งที่ไม่ได้ถูกขายมาทำงาน เดิมทีสกุลเฟิ่งไม่รับเด็กลักษณะนี้ แต่เสิ่นหลินนั้นมาจากการถือดาบไม้ที่ตัวเองทำวิ่งร่อนอยู่ในภูเขา จนหลายวันให้หลังหมดสติไป มารดาของเฟิ่งเป๋าเป่าเก็บกลับมาดูแล ว่ากันว่าชั่วขณะที่เสิ่นหลินฟื้นขึ้นมาเห็นมารดาของเฟิ่งเป๋าเป่าก็พึมพำเรียกว่า ‘พี่สาวนางเซียน’ ทำให้นายท่านสกุลเฟิ่งหัวเราะชอบใจใหญ่ ยอมรับเขาเข้ามาในบ้านอย่างองอาจ
“ศิษย์น้อง ข้าก็มีเหมือนกัน!“ อู๋จื่อเฉียวก็แทรกเข้ามาด้วย
“วันนี้เก็บได้เยอะจริงๆ” เฟิ่งเป๋าเป่าเก็บขนใส่ในถุงตาข่ายแล้วก็ส่งยิ้มให้ทั้งสองคน “เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ!ไม่ต้องจับแล้ว”
“ศิษย์น้องจะกลับแล้วรึ” อู๋จื่อเฉียวถาม
เฟิ่งเป๋าเป่าก้าวยาวๆ กลับ “ข้าต้องเร่งงาน อีกสองวันก็จะออกเดินทางไปกับท่านพ่อแล้ว ไม่รีบไม่ได้”
“ศิษย์น้องช่างดีกับคุณหนูใหญ่สำนักหลิ่วเยวี่ยจริงๆ นะ” อู๋จื่อเฉียวเดินตามทางด้านขวาของนาง
“แน่อยู่แล้ว! ศิษย์น้องไปฉลองวันไหว้พระจันทร์ที่บ้านนางสองปีติดต่อกัน ปีนี้นับเป็นครั้งที่สาม ก็ย่อมต้องสนิทสนมกันเป็นธรรมดา” เสิ่นหลินเดินทางซ้ายของเฟิ่งเป๋าเป่า พูดด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ
“ฉลองวันไหว้พระจันทร์ด้วยกันก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนิทกันเสียหน่อย ข้ากับเจ้าก็ฉลองด้วยกันทุกปีไม่ใช่รึ แล้วเจ้าว่าความสัมพันธ์เราดีหรือร้ายล่ะ” อู๋จื่อเฉียวเหล่ตามองเสิ่นหลิน