14 วัน 14 เรื่อง
ทดลองอ่าน ดวงใจกลางสายลม
คราวที่แล้วทำเขาเสียหน้ามาก เรื่องที่นายน้อยสำนักหลิ่วเยวี่ยกลัวหนูถูกแพร่ออกไปจนรู้กันทั่ว ไม่เพียงเท่านั้น เขายังตกเก้าอี้หัวกระแทกพื้นเสียอีก ตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยขายหน้าเท่านี้มาก่อน ไม่ใช่แค่เขาที่เสียหน้า แม้แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โกรธไม่คุยกับเขาไปหลายวัน
เฮ้อ
โชคดีที่ตอนนั้นอู่เอ๋อร์กับลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ตามไปด้วย จึงไม่เห็นเขาเสียกิริยาเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไรเรื่องก็ผ่านไปหลายปีแล้ว ความรู้สึกอับอายก็จางลง และแน่นอนว่าเขาเลิกกลัวหนูไปนานแล้ว
“บุตรสาวของนายท่านสกุลเฟิ่งอายุใกล้เคียงกับคุณหนูใหญ่ของเราไม่ใช่หรือ คราวนี้คุณหนูใหญ่จะได้มีเพื่อนแล้ว”
“ใช่ ดูท่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้บ้านเราคงคึกคักน่าดู”
หลิ่วมู่ชิงยิ้มน้อยๆ ฟังบ่าวสองคนคุยกัน เนื่องจากน้องสาวของเขาสุขภาพอ่อนแอและเป็นโรคหอบหืด จึงให้ท่านย่าช่วยดูแลอยู่ข้างกาย เติบโตมาที่เป่ยจิงตั้งแต่เล็ก จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อนถึงย้ายกลับมาบ้าน บุตรสาวของท่านลุงเฟิ่งอายุใกล้เคียงกับน้องสาวเขา น่าจะเป็นเพื่อนเล่นกันได้ เป็นเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
“พี่ใหญ่!” เสียงสดใสเสียงหนึ่งดังขึ้น
หลิ่วมู่ชิงชะงัก ที่แท้ลานฝึกวรยุทธ์ก็มีคนอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งก็คือน้องสาวของเขากับอาจารย์สอนวรยุทธ์หลายคนรวมถึงผู้ติดตามบางส่วน
หลิ่วอันเหอน้องสาวคนนี้อ่อนกว่าเขาสี่ปี เป็นพี่น้องเพียงคนเดียวของเขา อยู่ที่บ้านเก่าของท่านพ่อในเป่ยจิงตั้งแต่เด็ก ว่ากันว่าท่านพ่อของพวกเขาเคยเป็นเชื้อพระวงศ์ตำแหน่งสูงศักดิ์ แต่กลับละทิ้งยศเพื่อมาอยู่กับท่านแม่ ทว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ท่านพ่อกลับได้รับความเอาพระทัยใส่จากจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเสมอมา ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นใด แค่ตอนที่เขากับน้องสาวเกิดก็ได้รับของพระราชทานล้ำค่าไม่ด้อยกว่าลูกหลานเชื้อพระวงศ์แล้ว แม้กระทั่งชื่อของพวกเขาก็ล้วนเป็นฝ่าบาทพระราชทาน
มู่ชิงนามของเขานั้นมาจากบท ‘จี๋ฝู่สรรค์ทำนอง เสนาะพ้องดุจลมชาย’* ในคัมภีร์กาพย์กลอน ยกความหมายว่างดงามสอดคล้องกลมกลืน แฝงนัยแห่งสันติสุข ทั้งยังสามารถขยายความไปเป็น ‘มู่** ชิง’ ที่แปลว่าเคารพราชวงศ์ชิงได้อีกด้วย เพื่อให้เขาไม่ลืมว่าตัวเองเกิดในราชวงศ์ชิงเผ่าแมนจู ให้เขาเทิดทูนต้าชิงไว้ในใจเสมอ
ส่วนชื่อหลิ่วอันเหอของน้องสาวนั้นก็หมายถึงความสงบร่มเย็น บ่งบอกว่าเกิดในยุครุ่งเรืองที่มีสันติสุขนั่นเอง แน่นอนว่าชื่อของทั้งพี่ชายและน้องสาวแสดงนัยลึกซึ้งของการคาดหวังสันติสุขระหว่างสำนักหลิ่วเยวี่ยกับราชสำนัก เรื่องเหล่านี้เขาได้ยินมาจากท่านย่าและลุงป้าทั้งสิ้น ท่านพ่อของเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องราชสำนักเลยสักครั้ง
“พี่ใหญ่ วันนี้ข้าตื่นเช้ากว่าท่านอีก เรามาประลองกันเถอะ!” หลิ่วอันเหอพูดพลางตั้งท่า
หลิ่วมู่ชิงมองดูน้องสาวตีลังกาพุ่งมาทางเขาด้วยความรู้สึกร่ำไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก น้องสาวเขาอาจจะเคยอ่อนแอขี้โรคมาก่อน แต่ด้วยการดูแลเอาใจใส่ของท่านย่า ตอนนี้ไม่เพียงแต่ร่างกายจะแข็งแรงขึ้น สีหน้าเปล่งปลั่งตามลำดับ ยังได้ยินว่าเพื่อรักษาอาการหอบหืด ถึงกับต่อยมวยฝึกลมปราณทุกวันเลยทีเดียว เมื่อใส่ใจดูแลทั้งภายในและภายนอกควบคู่เป็นเวลาหลายปี ในที่สุดก็เลี้ยงดูจนนางแข็งแรง ‘กำยำ’
กำยำจริงๆ นะ! เขามองดูรูปร่างบึกบึนของน้องสาวก็ไม่แปลกใจที่ท่านแม่ตั้งข้อสงสัยบ่อยๆ ว่าน้องสาวถูกจับไปฝึกมวยปล้ำตอนอยู่ที่เป่ยจิงหรือไม่ ลับหลังท่านแม่พูดว่าอะไรนะ เหมือนจะพูดว่าไฉนเด็กผู้หญิงถึงได้ดูแข็งแกร่งทรงพลัง หลังพยัคฆ์เอวหมีอย่างนี้! แม้แต่ท่านพ่อก็ยังเคยหลุดปากพูดว่า ‘บำรุงมากเกินไปแล้ว’…
“อันเหอ เจ้าระวังหน่อย” เขาคว้าไหล่น้องสาวเอาไว้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยให้นางยืนมั่นคง ไม่ให้ล้มไปเพราะความตื่นเต้นเกินเหตุ
“ไม่ต้องห่วง แค่ลงมือก็พอ!” ใบหน้ากลมของหลิ่วอันเหอระบายยิ้มเต็มหน้า
“ข้าก็ลงมือแล้วนี่ไง” หลิ่วมู่ชิงยิ้มน้อยๆ มือขวาพลิกกลับไปแตะยอดศีรษะของนางอย่างว่องไว “มือแรกกันไหล่เจ้า ไม่ให้เจ้าโจมตี มือที่สองปัดหมัดเจ้าออกไป แย่งหัวเจ้ามาได้”
หลิ่วอันเหออึ้งไป แล้วแสดงสีหน้ารู้สึกตัวในฉับพลัน จับยอดศีรษะตัวเองร้องว่า “ไม่เอาๆ! เมื่อครู่ข้าไม่ได้ป้องกันตัวเลย พี่ใหญ่ขี้โกง เมื่อครู่ไม่นับ ข้าจะประลองใหม่!”
“ศัตรูไม่ให้เวลาเจ้าเตรียมตัวหรอกนะ” หลิ่วมู่ชิงอมยิ้ม พอเห็นน้องสาวร้องโวยวายก็ลูบศีรษะปลอบนาง “เอาล่ะๆ เรามาเริ่มใหม่ก็ได้”
ความเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดหลังจากหลิ่วอันเหอย้ายกลับมาบ้านก็คือบรรยากาศของสำนักหลิ่วเยวี่ยที่เคยเงียบสงัดจนแทบจะเยือกเย็นพลันถูกทำลายไปสิ้น ตอนนี้ที่ไหนที่มีคุณหนูหลิ่วอยู่ ที่นั่นก็ดูจะอบอุ่นคึกคักขึ้นมา นับเป็นความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงอย่างที่หลิ่วมู่ชิงไม่เคยสัมผัส อันที่จริงเขาเป็นคนนิสัยสุขุมเยือกเย็นเกินกว่าอายุ ค่อนข้างชอบบรรยากาศเงียบสงบมากกว่า จึงไม่ค่อยชินเท่าไรเมื่อจู่ๆ ในบ้านก็กลับคึกคัก ทว่าเขาก็ยังยินดีที่เห็นน้องสาวกลับมา ถึงอย่างไรนางก็เป็นน้องสาวเพียงคนเดียวของเขา ตั้งแต่เล็กได้อยู่ด้วยกันน้อยครั้ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็สมควรรักใคร่เอาใจใส่มากขึ้นด้วยซ้ำ
“ข้าจะลงมือแล้วนะ ระวังขาของเจ้าให้ดี” หลิ่วมู่ชิงเตือนล่วงหน้า จากนั้นก็กวาดเท้าไปทางน้องสาวอย่างว่องไว รอให้นางกระโดดหลบไปแล้วจึงค่อยลองออกหมัด “ข้าจะโจมตีแขนขวาของเจ้า ใต้รักแร้สองข้าง จากนั้นเป็นต้นขาขวา ดูให้ดีล่ะ!”
หลิ่วอันเหอลงมือป้องกันแต่ละหมัดๆ ตามคำเตือนของพี่ชาย ประมือกันไปเช่นนี้จนสิบกว่าเพลง นางทั้งตื่นเต้นทั้งภูมิใจในตัวเอง เต้นแร้งเต้นกาอย่างเบิกบาน ถึงแม้นางจะชอบท่านย่ามาก ท่านลุงกับท่านป้าก็เห็นนางเสมือนลูกแท้ๆ แต่นางก็ยังดีใจที่ได้กลับมาบ้านในที่สุด
ภายในลานกว้าง เห็นเพียงสองพี่น้องประลองยุทธ์กันไปมา เสียงประลองหมัดของคนสองคนก็ดังขึ้นเป็นระยะ เสริมด้วยเสียงพูดคุยสรวลเสเฮฮา…