พอมองเห็นศาลเจ้าริมน้ำอยู่เบื้องหน้า อาเหมยก็รีบจูงอวี๋ไฉ่หลิงวิ่งเข้าไปข้างใน ควักเหรียญห้าจู** ออกมาสองเหรียญ ซื้อธูปทำมือหนึ่งกระบอกไม้ไผ่จากหญิงชราผู้ดูแลศาลเจ้าที่อยู่หน้าประตู กับซื้อผลไม้ที่อวี๋ไฉ่หลิงเรียกชื่อไม่ถูกอีกจำนวนหนึ่งจากแม่นางที่คล้องตะกร้าร้องเร่ขายอยู่ แม่นางผู้นั้นเห็นฝูเติงหน้าตาชวนมอง จึงโยนส้มให้เขาหนึ่งลูกก่อนพิศมองพร้อมรอยยิ้มกริ่ม พาให้ดวงหน้าของฝูเติงพลันสีเข้มยิ่งกว่าส้มลูกนั้น อาเหมยจึงเป็นฝ่ายยิ้มพูดว่า “พี่ชายข้าใกล้จะหมั้นแล้ว!”
อวี๋ไฉ่หลิงร่วมเอ่ยเย้า “ในเมื่อเจ้าชอบเขา เหตุใดยังเก็บเงินค่าผลไม้จากพวกเราเล่า”
แม่นางผู้นั้นตอบอย่างตรงไปตรงมา “เขาแม้จะหล่อเหลา แต่ทางบ้านข้ายังต้องกินข้าวอยู่นะ” เหล่าชาวบ้านกับกลุ่มของอวี๋ไฉ่หลิงต่างหัวเราะฮ่าๆ กันครืนใหญ่
ศาลเจ้าที่ว่านี้เป็นเรือนขนาดใหญ่ซึ่งมีโถงหน้าหลังสองห้องประกบกัน เหล่าชาวบ้านเคยเห็นกลุ่มของอวี๋ไฉ่หลิงแล้วหลายหน รู้เพียงว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นคุณหนูของบ้านคนใหญ่คนโตในละแวกใกล้เคียง จึงพากันเปิดทางให้อีกฝ่ายเข้าไป ในโถงด้านหน้าอวลด้วยควันธูปที่ลอยวน แลเห็นบนแท่นสูงตั้งรูปสลักเทพเจ้าหน้าตาดุร้ายลักษณะพิสดารหลายองค์ เจ้าแม่กวนอินไม่คล้ายเจ้าแม่กวนอิน พระเยซูไม่คล้ายพระเยซู ซ้ำข้างเท้าของรูปสลักหินเหล่านั้นยังมีรอยเลือดสาดนองอยู่หลายกอง ด้านข้างคืออ่างไม้ขนาดใหญ่บรรจุเป็ดไก่ที่นอนเหยียดขาตายตาไม่หลับราวสามถึงห้าตัว…อวี๋ไฉ่หลิงส่ายหัวจนนับรอบไม่ถ้วนแล้ว ยุคนี้สมัยนี้รูปสลักเทพเจ้าทำออกมาชวนสะพรึงถึงเพียงนี้ วิธีบวงสรวงก็ช่างหยาบดิบเถื่อน นี่จะทำให้สาวกเข้าถึงห้วงอารมณ์ศรัทธาเทิดทูนจนลืมตัวแล้วควักเงินควักหัวใจให้ได้อย่างไรกันเล่า เด็กสาวแทบอยากจะเข้าไปชี้แนะเหล่าคนดูแลศาลเจ้าให้ทำรูปสลักเทพเจ้าที่มีคิ้วตาโอบอ้อมอารีสักหลายองค์ จัดวางดอกไม้กับปลาทองอีกสักหน่อย แล้วหาคนมาวางท่าขับกลอนสวดคัมภีร์ด้วยล่ะก็ รับรองว่ากิจการจะต้องเฟื่องฟูไปทั่วสี่สมุทร ทรัพย์ไหลมาเทมาทั้งสามลำน้ำ
เพียงแต่ชัดเจนว่านี่เป็นความคิดของอวี๋ไฉ่หลิงผู้เดียว เด็ก สตรีและคนชรารอบด้านต่างรู้สึกดีอย่างเห็นได้ชัด แต่ละคนบ้างคุกเข่ากราบไหว้ บ้างยืนนอบน้อมพนมมืออธิษฐานงึมงำ อาเหมยรีบยื่นธูปหลายดอกใส่มือคุณหนู แล้วจูงมาคุกเข่าบนเบาะหญ้าสาน
อวี๋ไฉ่หลิงสะทกสะท้อนใจ ชาติก่อนการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ครั้งสุดท้ายของเธอคือตอนที่ไปปีนเขากับรูมเมทอีกสามคน สาวน้อยทั้งสี่ต่างก้มกราบแทบรูปปั้นตรีวิสุทธิเทพ* ด้วยความเคารพ
‘หมวย SMS’ อธิษฐานให้สอบปลายภาคหนนี้คว้าทุนการศึกษาเต็มจำนวนได้อีกครั้ง
‘เจ้เว็บบล็อก’ ภาวนาให้หนุ่มหล่อชั้นเรียนข้างๆ ที่ตนเองแอบชอบอยู่เลิกรากับแฟนสาวไวๆ แล้วมาสะดุดรักแรกพบกับตนเองแทน
‘QQ’ วาดหวังว่าจะได้โอกาสฝึกงานในบริษัท NZND** ล่วงหน้า…
ส่วนอวี๋ไฉ่หลิงวอนขอให้ใบสมัครเข้าพรรคคอมมิวนิสต์ฉบับสิบเอ็ดที่เพิ่งจะเขียนเมื่อวันก่อนผ่านด่านได้เสียที…น้าชายบอกว่าถ้าเธอเข้าได้ จะซื้อโน้ตบุ๊คให้เครื่องหนึ่งเลย
หลังจากพร่ำอธิษฐานจบ สี่คนก็เปล่งเสียง ‘อา-มิด-ตา-พุ้ด’ พร้อมกันแล้วออกไปเที่ยวเล่นอย่างเริงร่า โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าอันแสนพิกลของคุณยายที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างแต่อย่างใด
อวี๋ไฉ่หลิงกราบไหว้และปักธูปเสร็จก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ มองจากแง่มุมนี้นับว่าการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์หนนั้นขลังมากทีเดียว ชาติก่อนเธอกล้าหาญผดุงคุณธรรมถึงได้จบชีวิตลง ถ้าหากไม่ตาย มีหรือเธอจะไม่ได้เข้าพรรค! ไม่รู้ว่าความปรารถนาของรูมเมทอีกสามคนเป็นจริงกันบ้างหรือไม่ อวี๋ไฉ่หลิงแสนแค้นใจที่ตนเองดวงไม่ดี เป็ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไป*** เสียอย่างนั้น เธอจึงใช้ถ้อยคำอันเฉียบขาดปฏิเสธอาเหมยที่ชวนเธอเข้าโถงด้านในไปฟังการตีความคำทำนายที่เล่าลือกันในระยะนี้
คราวก่อนเจอผู้ทำพิธีชายผู้นั้น เขายังพูดหลอกล่อให้เธอทำพิธีปัดรังควานอยู่เลย เขาคงจะได้ยินมาเช่นกันว่าเธอเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ถูกผู้อาวุโสขับไล่ออกมา เพ้ย เห็นอวี๋ไฉ่หลิงผู้นี้เป็นไม้ทุบผ้า**** สินะ หากมีเงิน เธอขอไปช่วย ‘ผีเสื้อราตรี’ เอาอย่างพ่ออวี๋ของเธอที่เป็นเศรษฐีใหม่ใจจืดยังดีเสียกว่า แต่จะไม่ขอใช้เงินไปกับนักต้มตุ๋นพวกนี้ ชั่วดีอย่างไรการช่วยผีเสื้อราตรีก็มีส่วนช่วยสร้างสังคมที่กลมกลืนได้ส่วนหนึ่ง
“ทุกคนล้วนบอกว่าผู้ทำพิธีที่อยู่ด้านในผู้นั้นมีอาคมแกร่งกล้ายิ่ง” อาเหมยยุดแขนเสื้ออวี๋ไฉ่หลิงไว้พลางกล่าว
** จู เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักของจีนสมัยโบราณ โดย 24 จูเท่ากับ 1 ตำลึง (1 ตำลึงเทียบน้ำหนักประมาณ 31.25 กรัม)
* ตรีวิสุทธิเทพ (ซานชิง) คือสามปฐมเทพสูงสุดตามหลักความเชื่อของลัทธิเต๋า สถิตในดินแดนสูงสุดเหนือจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ได้แก่ หยวนสื่อเทียนจุนแห่งแดนอวี้ชิง (หยกวิสุทธิ์) หลิงเป่าเทียนจุนแห่งแดนซั่งชิง (เหนือวิสุทธิ์) และเต้าเต๋อเทียนจุนหรือไท่ซั่งเหล่าจวินแห่งแดนไท่ชิง (บรมวิสุทธิ์)
** NZND (No Zuo No Die) เป็นคำฮิตบนโลกอินเทอร์เน็ต แปลว่าไม่รนหาเรื่องก็จะไม่ตาย
*** เป็ดที่ต้มสุกแล้วบินหนีไป ใช้เปรียบเปรยถึงสิ่งที่มั่นใจว่าจะได้มาอยู่ในมือแต่กลับสูญเสียไปอย่างคาดไม่ถึง บางครั้งยังหมายถึงยึดกุมโอกาสได้ไม่ดีพอ
**** ไม้ทุบผ้า เดิมหมายถึงไม้ที่ใช้ทุบผ้าขณะซักเพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกง่ายขึ้น ต่อมายังใช้เป็นสแลงหมายถึงคนหัวทึบ หรือมือใหม่อ่อนหัด