เซียวฮูหยินขมวดคิ้วตอบ “เจ้าเป็นเด็กเป็นเล็ก รู้หรือว่าอันใดคือเนรเทศ ด้วยสังขารของพวกเขาสองพ่อลูกที่รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่น หากถูกเนรเทศยังจะมีทางรอดอยู่หรือ ขัดต่อหลักปรองดองโดยแท้ เพียงแต่…” นางพลันยิ้มเยาะ “วิธีนี้แม่ก็เคยคิด เจ้ารู้หรือไม่เหตุใดแม่จึงไม่ใช้”
“เหตุ…ใดเจ้าคะ” มิใช่เพราะขัดต่อหลักปรองดองหรือไร ท่านก็พูดเองยังมาถามข้าอีก
เซียวฮูหยินโน้มกายลงเอ่ยเสียงเบากับเฉิงเซ่าซางที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น “เจ้าตรองดูเองให้ดีๆ”
พูดจบประโยคนี้เซียวฮูหยินก็ลุกขึ้นเดินจากไป ทิ้งให้เฉิงเซ่าซางค่อยๆ ขบคิดตามลำพัง
เหลียนฝางกับเฉี่ยวกั่วรุดเข้ามา ปรนนิบัติคุณหนูเปลี่ยนชุดยาวตัวใหม่เอี่ยม เช็ดหน้าล้างมือบ้วนปาก พานางซุกร่างเข้าไปในผ้าห่มอันอุ่นร้อน จากนั้นดึงปิดผ้าม่านเนื้อหนา ‘เชิญ’ นางนอนกลางวันด้วยถ้อยคำที่นุ่มเบา
เฉิงเซ่าซางอยากจะหัวเราะยิ่งนัก นางถูกจัดอยู่ในอิริยาบถนี้แล้ว ไม่นอนกลางวันยังจะทำสิ่งใดได้ ขณะเอนร่างอยู่บนเตียง นางพลันนึกถึงแม่สามีกับลูกสะใภ้คู่หนึ่งในตำบลอวี๋เมื่อชาติก่อน คนเป็นแม่สามีด่าลูกสะใภ้ว่าเป็นโจร ค้ำจุนสกุลเดิมมาตั้งหลายปี ตอนนี้กระทั่งค่าบ้านในเขตโรงเรียน* ของบุตรชายก็ยังขโมยไปซื้อเรือนหอให้น้องในสกุลเดิมซึ่งไม่รู้ว่าคนที่เท่าไรแล้ว แม่สามีจึงต้องการจะหย่าลูกสะใภ้ให้ได้ สุดท้ายได้หย่าหรือไม่นั้นเฉิงเซ่าซางก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าสามีบ้านนั้นโกรธจนออกไปทำงานข้างนอก และไม่ยอมส่งเงินให้ภรรยาอีก ลูกชายของสามีภรรยาคู่นี้ก็เอาอย่างย่า ไม่ยอมไยดีแม่แล้ว ดังนั้นจึงสลับเป็นฝ่ายลูกสะใภ้ออกมาด่าทอกลางถนนทั้งวันว่าสามีไร้มโนธรรม
โดยเนื้อแท้แล้วฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไม่ใช่มารอุ้มน้อง** แบบสมบูรณ์เต็มตัว ไม่เหมือนลูกสะใภ้รายนั้นที่ยอมให้ตนเองกับสามีและบุตรชายอยู่อย่างอัตคัดก็จะขอให้สกุลเดิมได้อยู่ดีกินดี ไม่เช่นนั้น…อืม คาดว่าเซียวฮูหยินคงได้แต่ทำลายความปรองดองทิ้งแล้ว อันที่จริงพ่อลูกสกุลต่งควรจะขอบคุณฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงด้วยซ้ำ หาไม่เซียวฮูหยินจะใช้วิธีการถึงขั้นใดจัดการพวกเขาก็สุดจะรู้ได้
เซียวฮูหยินผู้โชคดีไม่ต้องทำลายความปรองดองทิ้งนั้นพอกลับถึงห้องพักชั่วคราวของตน ก็เห็นเฉิงสื่อเอนครึ่งร่างอยู่บนเตียงแล้ว ทั่วกายคลุ้งด้วยกลิ่นสุรา ใบหน้าส่วนที่ไม่ถูกปกคลุมด้วยหนวดดกเผยสีแดงจัด
เซียวฮูหยินมิได้ตำหนิแม้แต่น้อย ถอดปิ่นกับหยกประดับอย่างไม่รีบไม่ร้อน หลังจากให้ชิงชงช่วยผูกสายรัดแขนเสื้อขึ้น เซียวฮูหยินก็คลายคอเสื้อของเฉิงสื่อออกอย่างชำนิชำนาญ เผยให้เห็นหน้าอกซึ่งเคลือบด้วยคราบเหงื่อกับไอร้อน รอจนหญิงรับใช้อาวุโสยกน้ำร้อนมาหนึ่งอ่างใหญ่ เซียวฮูหยินก็เช็ดตัวประคบร้อนให้สามีด้วยตนเอง เฉิงสื่อค่อยๆ รู้สึกตัวตื่น รับน้ำแกงสร่างเมามาดื่มจนหมดในรวดเดียว ก่อนหัวเราะคิกไปทางภรรยา “หยวนอี”
ชิงชงกับหญิงรับใช้อาวุโสประจำหลายคนต่างป้องใบหน้าแอบยิ้มอยู่อีกด้าน เซียวฮูหยินขึงตาใส่เฉิงสื่อ คลายสายรัดแขนเสื้อออกแล้วก็สั่งให้คนทั้งหมดถอยออกไป ค่อยมานั่งข้างกายผู้เป็นสามี “บอกให้ท่านไปพูดคุยกับน้องรองดีๆ ท่านกลับทำดีนัก ดื่มจนมีสภาพเยี่ยงนี้!”
เฉิงสื่อฉวยผ้าร้อนมาเช็ดใบหน้าพลางกล่าว “น้องรองเงียบขรึมมานานปี ข้าไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปากกับเขาอย่างไรแล้ว ไม่กี่วันนี้ข้าเอ่ยเรื่องย้ายจวนกับเขา เขาก็เอาแต่นิ่งเงียบ พอพูดเร่งเข้า เขาก็บอกว่าตนเองไม่ต้องย้าย รั้งอยู่อ่านตำราที่นี่แล้วกัน ทำเอาข้าโมโหนัก แค่ก…ก็แค่ขาไม่ค่อยสะดวกเท่านั้นมิใช่หรือ ขืนข้าไม่ฉวยจังหวะที่วันนี้น้องรองเริ่มเมา รีบกรอกสุราเขาเพิ่มอีกหลายจอก จะทำให้เขาพูดความในใจออกมาได้อย่างไร”
เซียวฮูหยินขยับไปใกล้อีกหน่อยก่อนถาม “เช่นนั้น…หนนี้เขายอมพูดแล้ว?”
เฉิงสื่อแปะผ้าร้อนไว้บนหน้าของตนพลางตอบอย่างอึดอัดใจ “เขาเพียงพูดกับข้าซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้ผิดต่อข้า เป็นข้าไม่เอาไหนเอง’ บนแขนเสื้อข้ามีแต่หยดน้ำตาของเขา”
* บ้านในเขตโรงเรียน คือบ้านในเขตพื้นที่ซึ่งหน่วยงานด้านศึกษาธิการจะกำหนดเปลี่ยนแปลงไปตามข้อมูลรายปี นักเรียนที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่นี้จะมีสิทธิเข้าเรียนได้รับการศึกษาภาคบังคับโดยไม่ต้องสอบเข้า
** มารอุ้มน้อง เป็นคำสแลงบนโลกอินเทอร์เน็ต หมายถึงพี่สาวที่ได้รับอิทธิพลจากครอบครัวจึงอุทิศตนเพื่อสนับสนุนอุ้มชูน้องชายโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนที่ต้องสูญเสีย