อวี๋ไฉ่หลิงมองอาจู้แน่วนิ่ง ในใจคิดว่าจะต้องถามตรงๆ แล้ว จึงทำหน้าตาน่าสงสารก่อนเอ่ยเสียงเศร้า “อาจู้ ข้าทำความผิดใหญ่โตเพียงนั้นจริงๆ หรือ” คำถามนี้แยบยลไร้พิรุธให้สืบเสาะ เด็กสาวถึงกับอดไม่ได้ที่จะแอบยกนิ้วให้ตนเอง
อาจู้ตอบอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “คุณหนูมีความผิดใดกัน! ไม่ได้ฆ่าคนวางเพลิง ไม่ได้ลักขโมยปล้นชิงสักหน่อย”
ไม่ใช่คดีอาญาก็ดีแล้ว ฟ้องคดีแพ่งจะปรับเยาวชนสักเท่าไรกันเชียว อวี๋ไฉ่หลิงค่อยใจชื้น พูดคลุมเครืออย่างน่าสงสาร “เช่นนั้น…เหตุใดจึงลงโทษข้ามาที่นี่เล่า”
อาจู้เอ่ยด้วยโทสะ “พวกนั้นล้วนมิใช่คนดี! รังแกที่คุณหนูไม่มี…” นางชะงักคำพูดไปดื้อๆ ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งก่อนกล่าวต่อ “คุณหนูวางใจได้ พวกนางไม่กล้าเหิมเกริมต่อท่านหรอก”
หรือว่าพ่อแม่ของร่างนี้ตายไปแล้วจริงๆ?! อวี๋ไฉ่หลิงแคลงใจ เธอฟังออกว่าอาจู้อยากพูดบางอย่างแต่อดกลั้นไว้ ช่างน่าเสียดายนัก เธอคิดอยู่เป็นนาน ก่อนได้แต่เอ่ยเสียงเบา “ข้ากลัวว่ากลับไปหนนี้จะไม่รอดชีวิตน่ะสิ”
นึกถึงเด็กสาวที่ล้มป่วยจนลมหายใจรวยรินเมื่อสิบกว่าวันก่อน อาจู้ก็ถอนหายใจ กุมมืออวี๋ไฉ่หลิงไว้ก่อนกล่าว “บ่าวจะพูดเป็นประโยคสุดท้าย ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเอาชีวิตคุณหนูทั้งนั้น” นางยังคงอดไม่ได้ที่จะแย้มพรายออกไปเล็กน้อย
อวี๋ไฉ่หลิงมีความมั่นใจเสียที
บ่ายวันนั้นได้ยินเสียงครอบครัวของอาจู้สาละวนดังปึงปังอยู่ข้างนอกตลอดครึ่งวัน ตกค่ำเธอนอนอิ่มไปหนึ่งคืน รุ่งขึ้นตื่นมาก็พบว่าเรือนทั้งหลังไม่เหมือนเดิมแล้ว เครื่องใช้ประจำวันซึ่งเต็มไปด้วยความอบอุ่นเอาใจใส่เหล่านั้นหายไปจนสิ้น บรรดาขวดกระปุกใส่เครื่องปรุงน้ำตาลเกลือในห้องครัวก็หายไปกว่าครึ่งค่อน ทั่วเรือนแลดูวิเวกวังเวง ที่สำคัญคือฝูอี่กับฝูเติงพ่อลูกจากไปตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันจะสาง
ใครจะนึกว่าคนในจวนกลับชักช้าไม่มาเสียที จวบจนอวี๋ไฉ่หลิงเพิ่งไปงีบยามบ่าย ค่อยเห็นรถม้าสองคันพิรี้พิไรมาถึง อาจู้เหยียดหยามอยู่ในใจ…ระยะทางจากจวนมาถึงที่นี่ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน หากออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ก่อนเที่ยงก็น่าจะมาถึงได้ เห็นชัดว่าบรรดาคนสนิทของสตรีต่ำช้านั่นถูกเลี้ยงจนสันหลังยาวแล้ว กระทั่งตะวันขึ้นถึงยอดไม้จึงค่อยออกเดินทางมา
อวี๋ไฉ่หลิงถูกจูงขึ้นรถไปในอาการงัวเงีย เดิมอาจู้หมายจะกำชับสองสามประโยค แต่น่าเสียดายมีสายตาหลายคู่จับจ้องจึงได้แต่เลิกล้มไป กลับเป็นอาเหมยอาเลี่ยงที่ยังอาลัยอาวรณ์ ในรถปูด้วยแพรไหม ผ้าห่มกับเตากำยานไม่มีขาดตกบกพร่อง เพียงแต่รถม้ายุคโบราณไม่มีเครื่องกันกระแทก ในเวลาเพียงชั่วสองก้านธูป* อวี๋ไฉ่หลิงก็ถูกกระเทือนจนตื่นเต็มตา ซ้ำได้ยินเสียงแหลมบาดหูของสตรีผู้หนึ่งพูดพร่ำไม่หยุดตั้งแต่ขึ้นมาบนรถแล้ว ความจริงนางกำลังสาธยายตำหนิอวี๋ไฉ่หลิงว่าขาดกิริยาของกุลสตรีเช่นไรบ้าง พยศอบรมยากเช่นไรบ้าง ฮูหยินนายของนางต้องเลี้ยงดูลำบากลำบนเช่นไรบ้าง
อวี๋ไฉ่หลิงเงยหน้าขึ้นมองสตรีผอมแห้งผู้นี้แล้วหรี่ตาลง เมื่อครู่ได้ยินอาจู้เรียกอีกฝ่ายว่า ‘ผู้ดูแลหลี่’ เธอไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายอย่างมาก ผู้ดูแลหลี่ก็กำลังมองอวี๋ไฉ่หลิง เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่ชอบเธอเช่นกัน
ผู้ดูแลหลี่สวมชุดชวีจวี* สีน้ำเงินเข้ม ช่วงเอวพันสายคาดต่วนแพรสีแดงสด บนศีรษะยังเสียบเครื่องประดับทองเลื่อมเงินอีกไม่น้อย ต่างจากอาจู้ที่ยามปกติเกล้ามวยกลมเพียงกลุ่มเดียวตรงหลังคอ เรือนผมของผู้ดูแลหลี่มุ่นมวยถึงสามกลุ่มใหญ่ สองกลุ่มใกล้จอนผมเป็นทรงจันทร์เสี้ยวย้อยอยู่ข้างหู กลุ่มที่อยู่กลางศีรษะพุ่งสูงลิ่ว เสียบปิ่นทองที่ใหญ่หนาสามอันตั้งตรงราวปักธูปสามดอก แป้งขาวที่พอกบนใบหน้าหากไม่ถึงหนึ่งชั่งก็ต้องแปดตำลึง* อวี๋ไฉ่หลิงสิ้นหวังกับมุมมองด้านความงามของคนยุคนี้แล้ว พาให้หวั่นวิตกกับรูปโฉมของตนเองอีกครั้ง
“…เมื่อครู่คำพูดของข้า แม่นางสี่ฟังชัดแล้วกระมัง!” ผู้ดูแลหลี่เสียงแหลมบาดหูยิ่งกว่าเก่า
* ‘หนึ่งก้านธูป’ เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ บางตำราว่าประมาณครึ่งชั่วโมง บางตำราว่า 1 ชั่วโมง
* ชุดชวีจวี คือชุดแต่งกายรูปแบบหนึ่งที่ท่อนบนและล่างเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยตัวเสื้อด้านหลังถูกต่อให้ยาวเป็นทรงสามเหลี่ยม สำหรับพันอ้อมหลังมาทบกับตัวเสื้อด้านหน้าก่อนรัดด้วยสายคาดเอว
* น้ำหนัก 1 ตำลึงของจีนเท่ากับ 31.25 กรัม