อวี๋ไฉ่หลิงไม่ชอบใจแล้ว เธอไม่ใช่คนโอบอ้อมอ่อนโยนอะไรสักหน่อย นับแต่วัยเด็กบิดามารดาหย่าร้าง เดิมทีเธอก็อยากจะเป็นหมวยสิบสาม** ในเรื่องกู๋หว่าไจ๋ ใครจะรู้กลับหลงเดินทางผิดไปเรียนมหาวิทยาลัยเป็นพลเมืองดีเสียอย่างนั้น
“ฟังไม่ชัด” อวี๋ไฉ่หลิงดึงแขนเสื้อที่หลวมกว้างให้เรียบเสมอกันด้วยสีหน้าอันเฉยเมย
ลูกเพลิงพลันลุกท่วมท้องของผู้ดูแลหลี่ เดิมทีคิดว่าอวี๋ไฉ่หลิงได้รับความทุกข์ยากในชนบทจนว่าง่ายแล้ว ไม่นึกเลยอีกฝ่ายยังคงปรนนิบัติยากเย็นเยี่ยงนี้ นางได้แต่ฝืนข่มโทสะไว้ ก่อนเอ่ยสรุปเฉพาะประเด็นสำคัญ “เมื่อครู่ข้าพูดว่าฮูหยินข้ามีจิตใจกว้างขวาง ให้อภัยในความผิดที่แม่นางสี่กระทำแล้ว แม่นางสี่กลับไปหนนี้ต้องอยู่ในโอวาทฟังคำของฮูหยินนะเจ้าคะ”
อวี๋ไฉ่หลิงหรี่ตา เธอเป็นคนที่ยึดถือเหตุผลอย่างมาก ใครดีกับเธอ เธอมักแข็งด้วยไม่ไหว ต้องการให้ว่าง่ายเท่าใดก็จะว่าง่ายเท่านั้น แต่ถ้าหากใครร้ายมา เธอก็จะไม่มัวเกรงอกเกรงใจ ทะลุมิติมาสถานที่เฮงซวยนี่ ไม่ใช่เพื่อจะมากล้ำกลืนฝืนทนหรอกนะ อย่างมากก็หนึ่งชีวิต กลับไปเกิดใหม่อีกรอบแค่นั้นเอง!
“ฮูหยินมีมากมายขนาดนั้น เป็นฮูหยินคนไหนเล่า” ฮูหยินของรากเหง้าบิดาเจ้าสิบแปดรุ่นน่ะสิ! ทำไมไม่เรียกมาม่าซังไปเสียเลย!
“ฮูหยินนายข้าก็คืออาสะใภ้ของท่าน!” ผู้ดูแลหลี่ยกเสียงสูง “กระทั่งอาสะใภ้ของตนเองเป็นผู้ใดท่านก็ไม่รู้แล้ว?”
“ย่อมรู้แน่นอน” อวี๋ไฉ่หลิงหน้ายิ้มใจไม่ยิ้ม “ก็คือมารดาแก่ๆ ของท่านอาอย่างไรเล่า!”
“ทะ…ท่าน…” ผู้ดูแลหลี่หวิดจะเป็นลมล้มพับไป นิ้วมือที่ชี้ไปหาอวี๋ไฉ่หลิงสั่นเทิ้มไม่หยุด “ท่านรู้หรือไม่อันใดคือกตัญญูสัมมาคารวะ อันใดคือจรรยาอันดีงาม! เปล่งวาจาจาบจ้วงออกมาเยี่ยงนี้ หรือท่านยังอยากจะถูกลงโทษอีก!”
ผู้ดูแลหลี่รู้สึกแปลกใจมิใช่เบา เด็กสาวผู้นี้นับว่าตนเห็นมาแต่เล็กจนโต เป็นพวกที่กล้าแต่ข่มเหงผู้อ่อนแอ กับบ่าวรับใช้แม้วางอำนาจไม่ฟังเหตุผล แต่หากเจอผู้ที่ร้ายกาจกว่าก็จะตัวลีบเล็กลงทันตา หลายปีมานี้ทุกครั้งที่ฮูหยินตนลงโทษนาง พอกลับมาแล้วปลอบโยนผูกใจให้มาก นางก็อยู่ในโอวาทขึ้นเอง
อวี๋ไฉ่หลิงเลิกคิ้วก่อนเอ่ย “ข้าป่วยหนักไปหนึ่งหน แทบเอาชีวิตไม่รอด ทุกเรื่องล้วนไม่ยึดติดแล้ว นิสัยข้าเป็นเช่นนี้นี่ล่ะ คิดจะควบคุมมาถึงบนศีรษะข้า เจ้าฝันไปเสียเถอะ! แน่จริงก็อย่ามารับข้าสิ! ข้าจะลงจากรถกลับไปเดี๋ยวนี้เลย!”
สิบกว่าวันที่ผ่านมาอวี๋ไฉ่หลิงไม่ได้อยู่เฉย ทุกวันล้วนออกไปชมดูวิถีชีวิตชนบท ฟังเหล่าสตรีกับเด็กน้อยเล่าเรื่องหยุมหยิมในครอบครัว ดังคำกล่าวว่าความชื่นชอบของคนเบื้องบนมักสะท้อนเข้มข้นในหมู่คนเบื้องล่าง ขนบในสังคมของชนชั้นสูงกับของชาวบ้านสามัญจะไม่แบ่งแยกกันไกลนัก ประกอบกับหมู่บ้านละแวกนี้เต็มไปด้วยเรือนสวนอันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของชนชั้นสูงตระกูลใหญ่หลายตระกูล ตามที่ได้ฟังชาวไร่ชาวสวนเล่าเรื่องเจ้านายในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันนี้ ถึงกับมีการหย่าร้างกันสามกรณี การแต่งงานใหม่สี่กรณี แล้วก็สามีภรรยาแรกแต่งงานลงไม้ลงมือกันอีกหนึ่งกรณี…อวี๋ไฉ่หลิงสัมผัสได้เลาๆ ว่าวิถีของผู้คนที่นี่เปิดกว้างโผงผางใจถึง เข้มงวดเรื่องจารีตน้อยกว่ายุคโบราณที่เธอรู้มาลิบลับ
เห็นเด็กสาวดุร้ายป่าเถื่อน ผู้ดูแลหลี่ก็รีบงัดเรื่องของผู้ใหญ่ออกมาพูดเสียงดัง “บิดามารดาของท่านไม่ไยดีท่านแล้ว อาสะใภ้ของท่านสู้อบรมเลี้ยงดูท่านทุกคืนทุกวันมาสิบปี ต้องลำบากยากเข็ญสักเพียงใด ท่านถึงกับก้าวร้าวเยี่ยงนี้!”
พอได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ความคิดแรกที่อวี๋ไฉ่หลิงตอบสนองได้คือ ที่แท้พ่อแม่ของร่างนี้ยังไม่ตาย ความคิดที่สองคือ หรือว่าชะตากรรมวัยเด็กของร่างนี้ก็มีพ่อแม่ที่หย่าร้าง? ฉันกับร่างนี้ต่างที่มา แต่มีปลายทางไม่ต่างกัน?
พ่ออวี๋กับแม่อวี๋เป็นคู่แรกในตำบลที่หย่าร้างกันหลังการปฏิรูปเปิดประเทศจีน แม้ต่อมาจะมีอีกหลายคู่ที่หย่าร้าง แต่ตอนแรกเสียงวิจารณ์ของผู้คนในตำบลเล็กๆ นั้นดังเป็นประวัติการณ์ชนิดไม่เคยมีมาก่อนและจะไม่มีอีกในอนาคต ส่งผลให้อวี๋ไฉ่หลิงที่ยังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลพลอยฟ้าพลอยฝนถูกผู้คนชี้นิ้วนินทาทุกวี่วัน เธอไม่ได้ถูกคำวิจารณ์ของคนหมู่มากกดทับจนขี้ขลาดดูถูกตนเอง กลับกันยังพัฒนาไปในทางตรงข้ามอย่างหาได้ยาก ฝึกฝนตนจนได้ผิวหน้าหนาๆ มาหนึ่งชั้นกับหัวใจที่แข็งแกร่งอีกหนึ่งดวง
อวี๋ไฉ่หลิงดึงปิ่นมาใช้งัดเปิดฝาเตาอุ่นมือใบเล็กที่อยู่บนโต๊ะเตี้ยออกดังปึง มือที่ซุกอยู่ใต้แขนเสื้อยกเตาอุ่นมือใบนั้นขึ้น วางท่าเป็นนักเลงหญิงแล้วพูดอย่างดุดัน “บ่าวต่ำต้อย! เชื่อหรือไม่ว่าข้าสาดถ่านติดไฟนี่ใส่หน้าเจ้าได้!”
** หมวยสิบสาม คือหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียหญิงจากภาพยนตร์เรื่องระห่ำคน ระห่ำถนน (Portland Street Blues) ซึ่งเป็นภาคเสริมของภาพยนตร์เรื่องกู๋หว่าไจ๋ (Young and Dangerous)
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.