บทที่ 3
ผู้ดูแลหลี่มองถ่านที่มีประกายไฟเปรี๊ยะป๊ะนั้นในอาการปากอ้าลิ้นพัน ตอนนี้นางเริ่มรู้สึกว่าแม่นางสี่ผู้เกกมะเหรกหยาบคายนี้ดูคุ้นตาขึ้นมาแล้ว เมื่อก่อนท่าทางยามอาละวาดตบตีด่าทอบ่าวระดับล่างก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ เพียงแต่อีกฝ่ายไม่เคยกล้าปฏิบัติกับตนเยี่ยงนี้มาก่อน หรือว่าป่วยหนักไปหนึ่งหนกลับทำให้ขวัญกล้าขึ้น?
อวี๋ไฉ่หลิงมองผู้ดูแลหลี่ชั่วครู่ก็แค่นหัวเราะก่อนวางเตาอุ่นมือลง วกข้อมือเสียบปิ่นกลับคืน เอ่ยเสียงเย็นชา “หากเจ้ากล้าพูดวาจาไร้มารยาทกับข้าอีกประโยคเดียว ข้าจะกระโดดลงจากรถ ไม่ว่าเป็นหรือตายก็จะไม่ตามเจ้ากลับไปเด็ดขาด” ถ้าเธอไม่มีความร้ายกาจอยู่บ้าง เด็กน้อยที่ไร้บิดามารดา ใช้ชีวิตอยู่กับคุณย่าที่เป็นม่าย ต่อให้มีลุงใหญ่ก็ต้องถูกคนในตำบลรังแกตายแน่
“ทะ…ท่าน!” ผู้ดูแลหลี่ตะลึงงันอยู่เป็นนาน เดิมทีคนเป็นบ่าวถูกเจ้านายต่อว่านับเป็นเรื่องปกติ ทว่าแม่นางสี่ผู้นี้ประจบเอาใจตนเสมอมานี่นา
ขณะคิดจะต่อปากต่อคำกลับ ผู้ดูแลหลี่พลันฉุกคิดถึงสถานการณ์ตรงหน้า จึงหุบปากลงอย่างช่วยไม่ได้
ความจริงเมื่อครู่ได้ยินอีกฝ่ายพูดว่า ‘ป่วยหนักจนแทบเอาชีวิตไม่รอด’ ผู้ดูแลหลี่ก็ร้อนตัวแล้ว เดิมเรื่องนี้เป็นความบกพร่องของตน เมื่อแรกฮูหยินนายตนมิได้สั่งให้เอาชีวิตน้อยๆ ของแม่นางสี่แต่อย่างใด ฮูหยินเพียงตั้งใจจะใช้เวลาไม่กี่เดือนเคี่ยวกรำเด็กนี่ช้าๆ ให้ได้รับความลำบากสาหัสสักครั้งก่อน ค่อยใช้เวลาหลายเดือนปลอบประโลมทีละนิดอย่างเอาใจใส่ อีกฝ่ายจะได้อยู่ในโอวาทของฮูหยินโดยสมบูรณ์ก่อนที่บิดามารดาบังเกิดเกล้าจะกลับมา ผู้ใดจะรู้ว่าบิดามารดาบังเกิดเกล้าของแม่นางสี่เจ้าเล่ห์เพียงนี้ ในจดหมายบอกว่ายังอีกหลายเดือนจึงจะกลับมาได้ แต่เมื่อวานกลับให้คนนำคำพูดมาแจ้งว่าจะมาถึงในไม่กี่วันนี้แล้ว ทำให้พวกตนนายบ่าวพลันตั้งตัวไม่ติด ทีนี้จะทำเช่นไรกันดี ผู้ดูแลหลี่ถึงกับทึ่มทื่อจนตาค้าง
ยามนี้เห็นใบหน้าอันกร้าวแกร่งของอวี๋ไฉ่หลิง ผู้ดูแลหลี่จึงได้แต่กลั้นโทสะไว้ คิดในใจว่า รอกลับไปแล้วข้าค่อยให้ฮูหยินจัดการเจ้า
อวี๋ไฉ่หลิงไม่ไปแยแสอีกฝ่าย หาหมอนอิงใบหนึ่งมาพิงแล้วแสร้งหลับ ในใจนึกถึงเรื่องเล่าที่ได้ฟังในหมู่บ้านวันก่อน…เล่ากันว่าราชวงศ์ก่อนมีคหบดีผู้หนึ่งถูกศัตรูที่มีอิทธิพลทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต ด้วยรู้ว่าคหบดีไม่มีบุตรชายรวมถึงหลานที่เกิดจากพี่น้อง บุตรสาวก็ออกเรือนให้กำเนิดบุตรแล้ว ศัตรูจึงอดไม่ได้ที่จะลอบยินดี ไม่คาดคิดว่าบุตรสาวที่ออกเรือนไปแล้วนี้กลับสะพายดาบมาล้างแค้น สุดท้ายฟันศัตรูตายที่จุดพักม้าในเมืองแห่งหนึ่ง หลังเกิดเหตุนางไปสารภาพผิดขอรับโทษต่อขุนนางในท้องที่นั้น ปรากฏว่าทั้งเจ้าเมืองทั้งผู้ว่าการมณฑลพร้อมใจกันส่งรายงานถึงราชสำนักเพื่อชี้แจงการกระทำอันหาญกล้าเปี่ยมคุณธรรมของสตรีนางนี้ ทำให้นางมิเพียงได้รับการอภัยโทษปล่อยตัว ยังมีการตั้งแผ่นศิลาสลักคำสดุดีให้ใต้หล้ารับรู้อีกด้วย
นี่แตกต่างจากภาพจำที่อวี๋ไฉ่หลิงมีต่อยุคโบราณอย่างมาก
ในภาพจำของเธอ จารีตข้อบังคับที่ผูกมัดสตรีในสังคมศักดินานั้นเรียกได้ว่าขอแค่หนึ่งช้อนจะให้มาหนึ่งอ่าง ขอแค่หนึ่งกระด้งจะให้มาหนึ่งกระบุง หลักใหญ่ครอบคลุมถึงจรรยามารยาท หลักย่อยครอบคลุมกระทั่งเดินหนึ่งก้าวต้องย่างเท้ากี่เซนติเมตร พูดหนึ่งประโยคสามารถเงยหน้าขึ้นได้กี่นิ้ว เหล่านี้ล้วนแต่มีข้อกำหนดอันแน่ชัดเคร่งครัดราวมาตราชั่งตวงวัดสากล สตรีทั้งหลายถูกควบคุมจนสูญสิ้นกลิ่นอายของชีวิต ไม่ต่างอะไรกับมนุษย์ท่อนไม้เลย
ทว่าอยู่ที่นี่ดูเหมือนความคิดจิตใจของผู้คนล้วนมีชีวิตชีวาเป็นธรรมชาติถึงเพียงนั้น ให้ความรู้สึกว่านี่ทำได้นั่นก็ทำได้ ไม่มีสิ่งใดไม่อาจกระทำภายใต้ผืนฟ้าอันกว้างใหญ่นี้ แน่นอนว่าสตรีสุภาพเรียบร้อยเป็นที่ชื่นชมของผู้คนทั้งหลาย ทว่าสตรีที่กร้าวแกร่งหาญกล้าก็เป็นที่กล่าวขวัญยกย่องไม่ต่างกัน
อย่างเช่นสกุลชิวนั้น แม้แม่นางใหญ่จะแต่งงานหนแล้วหนเล่า แต่ด้วยนางมีอุปนิสัยใจเด็ดเฉียบขาด ไม่ว่าเป็นช่วงที่พี่ชายสองคนทำศึกอยู่ข้างนอก หรือเป็นช่วงหลังจากที่พวกเขาพิการกลับมา ทุกคราที่บิดามารดาหรือพี่สะใภ้กับหลานๆ ถูกข่มเหงรังแก ล้วนแต่เป็นนางที่นำคนไปปะทะคารมต่อสู้ช่วงชิง ไม่แปลกเลยที่ผู้เฒ่าชิวสองสามีภรรยาจะรักบุตรสาวคนนี้เป็นพิเศษ พวกเด็กๆ สกุลชิวต่างก็ระลึกถึงอาหญิงเล็กผู้เก่งกาจนี้อยู่เสมอ ส่วนเหล่าชาวบ้านนอกจากพูดคำสัปดนหยอกเย้าในพิธีแต่งงาน ก็ไม่เคยมีวาจาถากถางเช่นม้าดีไม่วางสองอาน* มาให้ได้ยิน
สรุปคือสตรีที่สุภาพอ่อนโยนแน่นอนว่าออกเรือนได้ง่าย แต่สตรีที่เผ็ดร้อนห้าวหาญก็ไม่ได้ถูกประณามหยามเหยียดเท่าในยุคต่อๆ มา
* ม้าดีไม่วางสองอาน ใช้เปรียบเปรยว่าม้าที่ภักดีจะไม่รับใช้สองนาย สตรีที่ดีจะไม่ปรนนิบัติสองสามี