“ฟู่หมู่พูดนั่นพูดนี่ก็เพียงต้องการจะกล่อมข้าก้มหัวให้นาง!” ท่าทางเก่อซื่อจะมีโทสะแล้ว “ท่านไม่คิดบ้างว่าข้ากับนางแต่งเข้ามาไล่เลี่ยกัน ไม่ว่าความสามารถหรือทรัพย์สินข้าล้วนแต่เหนือกว่านาง ทว่าข้าต้องใช้ชีวิตเยี่ยงไร! ข้าเอาสินเจ้าสาวมาค้ำจุนสกุลเฉิง ส่วนนางกลับเอาเงินสกุลเฉิงไปอุดหนุนสกุลเดิม! ซ้ำยังจองหองพองขนอยู่ทุกวี่วัน ข้าจะไม่โมโหได้หรือ!”
“เช่นนั้นข้าขอถามท่าน หลายปีมานี้สินเจ้าสาวของท่านยังคงเดิมหรือไม่” หญิงสูงวัยกล่าวเสียงเบา
เก่อซื่อพลันอับจนถ้อยคำ
หญิงสูงวัยกล่าวรุกคืบ “จริงอยู่ตอนที่เพิ่งแต่งงาน ท่านเคยเอาสินเจ้าสาวค้ำจุนสกุลเฉิง ทว่าเพียงไม่กี่ปีท่านใหญ่ก็สร้างตัวได้แล้ว ทุกคราที่เสร็จศึกล้วนส่งเงินทองแพรพรรณกลับมาทางบ้านเป็นหีบๆ ไม่เพียงชดเชยสินเจ้าสาวของท่านครบถ้วนแต่แรก เกรงว่ายังเกินด้วยซ้ำไป เงินทองเหล่านั้นเซียวฮูหยินจะเจียดไปเกื้อหนุนสกุลเดิมบ้างก็ไม่เป็นอันใดเลย”
เก่อซื่อแค่นหัวเราะ “ ‘บุพการียังอยู่ ไม่แบ่งทรัพย์ส่วนตัว’ ยังไม่ได้แยกบ้านกันสักหน่อย เงินทองทั้งหมดของพี่ใหญ่ควรให้บุพการีเป็นผู้ดูแล พี่ชายน้องชายสามคนสามครอบครัวล้วนมีส่วนในเงินนี้!”
สตรีสูงวัยถอนหายใจอีกครา “เหตุผลนี้ไม่ผิด ทว่าเงินของท่านใหญ่ล้วนเข้าสนามรบไปแลกมา เซียวฮูหยินติดตามอยู่ข้างกายท่านใหญ่โดยตลอด เงินย่อมจะผ่านมือของนางก่อน เมื่อแรกข้างนอกชุลมุนวุ่นวาย มีศึกสงครามทุกแห่งหน ใครยังจะใส่ใจกฎเกณฑ์เหล่านี้เล่า แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ หากออกจากเขตเมืองและมณฑลที่ฮ่องเต้ของพวกเราทรงควบคุมได้ ข้างนอกนั้นก็ยังคงไม่สงบสุข”
ชั่วขณะนี้ในห้องเหลือแต่ความเงียบงัน คาดว่าสตรีทั้งสองต่างหมดคำพูดแล้ว อวี๋ไฉ่หลิงอดทนรอคอย ทางหนึ่งคิดในใจว่า ที่แท้ตอนนี้ข้างนอกก็ยังรบพุ่งกันอยู่ ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง อีกทางหนึ่งก็เร่งเร้าในใจว่า ซุบซิบกันต่อสิอย่าเพิ่งหยุด
“เช่นนี้…ท่านจึงหมายเอาชีวิตของแม่นางสี่…เพียงเพื่อจะระบายโทสะที่มีต่อเซียวฮูหยินน่ะหรือ” สตรีสูงวัยถาม
เก่อซื่อตอบปนหัวเราะเย็นชา “เดิมทีข้าคิดจะรั้งหญิงต่ำช้านั่นไว้ ใครจะรู้นางกลับใจเหี้ยมได้ถึงเพียงนั้น ขอยอมทิ้งลูกก็จะขอติดตามพี่ใหญ่ไป! พี่ใหญ่ย่อมจะช่วยเหลือนาง ลูกไม้ของนางเยี่ยมยอดยิ่ง ถึงกับเชิญหมอดูที่เก่งกาจมาเอ่ยคำทำนายจนฝืนพาบุตรชายไปได้ทั้งหมด ทิ้งไว้แต่บุตรสาวคนนี้ มิผิด ข้าหมายเสี้ยมสอนให้แม่นางสี่เสียคน ทำให้ผู้เป็นมารดาอับอายขายหน้า แต่ข้าไม่เคยคิดจะเอาชีวิตเด็กนี่เลย!”
ฟังมาถึงตรงนี้ ในใจอวี๋ไฉ่หลิงก็หัวเราะเย็นชาเช่นเดียวกัน เห็นทีเธอจะไม่มีวาสนากับบิดามารดา ชาติก่อนบิดามารดาหย่าร้าง ชาตินี้ขนาดบิดามารกาไม่ได้หย่าร้างก็ยังคงทอดทิ้งเธอ
วัยสาวแม่อวี๋เป็นปัญญาชนที่ต้องไปทำงานในชนบท เมื่อแรกมีชายหนุ่มในพื้นที่หมายปองอยู่ไม่น้อย ในจำนวนนั้นไม่ขาดคนที่มีกำปั้นแข็งกว่าหรือมีขุมกำลังมากกว่า ทว่าแม่อวี๋ถูกใจในตัวพ่ออวี๋เพียงคนเดียว แม่อวี๋เข้าใจชัดแจ้งว่าการใช้ชีวิตนั้นเนื้อแท้สำคัญกว่าเปลือกนอก ชายหนุ่มพวกนี้วันทั้งวันยกพรรคพวกมาอวดบารมี ทั้งที่ในบ้านมีเสบียงอาหารเก็บอยู่ไม่กี่ชั่ง คุณค่าแค่เท่าขี้ตาก็หาไม่ได้ ต่างจากพ่ออวี๋ที่หัวไวไหลลื่น ทั้งยังมีมารดาที่อ่อนโยนใจดี
แม่อวี๋ไม่พอใจกับการเป็นแค่นักบัญชีในตำบลเล็กๆ จึงเริ่มทบทวนตำราทันทีที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยทั่วประเทศฟื้นฟูดังเดิม ฝืนยืนหยัดอยู่หลายปีจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ต่อมาไม่เพียงได้รับจัดสรรตำแหน่งงานในเมืองใหญ่ที่มีอนาคตสดใส ยัง ‘บังเอิญได้พบ’ กับเพื่อนเล่นในวัยเยาว์ซึ่ง ‘ประจวบเหมาะ’ หย่าร้างพอดีและมีชาติตระกูลสมกันมาแต่เดิม…เรื่องราวถัดจากนั้นจึงลุล่วงลงตัว สิ่งเดียวที่คำนวณพลาดน่าจะเป็นการคลอดอวี๋ไฉ่หลิงออกมา
ความคิดของอวี๋ไฉ่หลิงทางนี้ลอยไปไกลอยู่บ้าง ขณะที่เก่อซื่อทางนั้นยิ่งคิดยิ่งคับแค้น จึงเอ่ยเสียงชิงชัง “…นอกจากเพิกเฉยด้านการอบรมสั่งสอน ข้าก็ทำอันใดไม่ได้เสียหน่อย ฟู่หมู่ไม่รู้หรือไร แค่ได้ยินว่ามีความเคลื่อนไหว หญิงแก่แซ่วั่นที่อยู่บ้านข้างๆ ก็ส่งบ่าวมาดูแล้ว ข้าสามารถตำหนิเฆี่ยนตีแม่นางสี่ หรือสามารถลงโทษไม่ให้นางกินข้าวได้หรือไร”
ดูเหมือนสตรีสูงวัยจะถอนหายใจอีกครา “ท่านฟังข้าสักประโยคเถิด สกุลเฉิงในตอนนี้ไม่ใช่สกุลเฉิงในวันวานนานแล้ว ทว่าพวกเราสกุลเก่อกลับยังคงเป็นสกุลเก่อเมื่อแรกเริ่มนั้น เวลาเปลี่ยนไปแล้ว ท่านก็อย่าดึงดันอีกเลย หนนี้ข้าฉวยเวลาก่อนวันปีใหม่มาเยี่ยมท่าน อีกไม่กี่วันข้าจะตามลูกหลานไปมณฑลชิงโจวแล้ว นับแต่ฝ่าบาททรงบุกยึดที่นั่นได้ ไม่กี่ปีนี้โจรเร่ร่อนก็ค่อยๆ ถูกปราบจนหมดเสียที ไร่นารกร้างที่เพาะปลูกได้มีอยู่เยอะยิ่ง กำลังติดประกาศเรียกคนไปอยู่ที่นั่น ไม่เพียงเก็บอากรต่ำ เพาะปลูกแค่ไม่กี่ปีก็จะได้ที่ดินผืนนั้นเป็นของตนด้วย…”