ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 3
เก่อซื่อตระหนกวูบ “เร็วเพียงนี้เชียว? นี่เพิ่งจะผ่านวันตงจื้อ* ไปเองนะ เหตุใดไม่รอฉลองวันปีใหม่แล้วค่อยไปเล่า” แม้รู้แต่แรกว่าครอบครัวของฟู่หมู่กำลังวิ่งวุ่นเรื่องซื้อที่ดินในมณฑลชิงโจว แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ นางกลับยังคงอาลัยอาวรณ์
สตรีสูงวัยเอ่ยตอบ “ไม่กี่ปีนี้บุตรชายของข้าทำการค้าลงทุนต่ำแล้วได้กำไรมาก้อนหนึ่ง ด้วยอารามฮึกเหิมจึงไปให้หมอดูผู้หนึ่งเสี่ยงทายดู ได้ความว่าการอพยพไปซื้อที่ดินในแดนไกลต้องอัญเชิญบรรพชนไปด้วย จึงจะช่วยปกปักรักษาทั้งครอบครัว ดังนั้นพวกเราจึงตั้งใจจะไปขึ้นปีใหม่กันที่ชิงโจว ถึงตอนนั้นคนทั้งครอบครัวร่วมกันเซ่นไหว้ชุดใหญ่สักครั้ง จะได้คุ้มครองให้วันหน้าทางบ้านรุ่งเรืองมากลูกมากหลาน”
เก่อซื่อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปนสะอื้นแผ่ว “ฟู่หมู่ สองปีมานี้แม้ท่านพำนักอยู่ข้างนอกเป็นส่วนใหญ่ ทว่ายามที่ข้าอยากพบท่านล้วนพบได้เสมอ บัดนี้หากท่านไปชิงโจวแล้ว ข้าจะทำเช่นไรเล่า ข้าบอกแล้วว่าจะหาลู่ทางอนาคตให้บุตรชายของท่านมิใช่หรือไร”
สตรีสูงวัยยิ้มกล่าว “ไปชิงโจวดียิ่ง หลานชายหลายคนของข้าก็จะไปกันทั้งบ้าน ไปเป็นครอบครัวใหญ่มากคนมากพลัง ไม่ต้องกลัวจะถูกผู้อื่นข่มเหง ยิ่งไปกว่านั้น…” นางเว้นช่วงเล็กน้อยค่อยกล่าวต่อ “ท่านคิดดูเอาเถิด นานปีมานี้บุตรหลานของสกุลเก่อเคยมีคนหาทางเป็นขุนนางได้หรือ กระทั่งไท่เสวีย* ยังไม่อาจเข้าไปเลย นับประสาอะไรกับบุตรหลานของข้าเล่า”
เก่อซื่อเอ่ยเสียงเคียดแค้น “ล้วนเป็นเพราะเซียวซื่อหญิงต่ำช้านั่น พี่ใหญ่จะทำสิ่งใดมีหรือไม่ต้องคอยมองสีหน้านาง”
สตรีสูงวัยเพียงแต่ยิ้มๆ ไม่พูดจาอีก
อวี๋ไฉ่หลิงแม้ไข้ขึ้นจนมึนศีรษะ ทว่าสมองยังไม่เสียหาย มิต้องให้สตรีสูงวัยผู้นั้นกล่าว ในใจเด็กสาวก็เอ่ยเสริมแทนอีกฝ่ายได้…อาสะใภ้สมองฝ่อผู้นี้ รู้จักแต่ขยับหัวคิดนอกลู่นอกทาง วันทั้งวันมุ่งประลองกำลังกับเซียวฮูหยิน แล้วยังจะหวังให้สามีผู้อื่นช่วยเหลือสกุลเดิมของเจ้าอีกหรือ!
อวี๋ไฉ่หลิงรู้สึกว่าตนเองตอนสิบขวบก็หัวดีกว่าอีกฝ่ายแล้ว มีอย่างที่ไหนตบแก้มซ้ายผู้อื่นไป ยังหวังจะให้ผู้อื่นเลียนิ้วมือเจ้าหรือไรกัน เซียวฮูหยินผู้นั้นไม่ใช่พวกชอบถูกทารุณสักหน่อย อาสะใภ้คนดีควรจะเยือกเย็นลงจริงๆ ตอนนี้แม้แต่คนข้างกายหนึ่งเดียวที่มีสติแจ่มใสก็กำลังจะเผ่นหนี คงเป็นเพราะสิ้นหวังกับสติปัญญาของเจ้าแล้ว
“ตอนนี้ท่านตั้งใจจะทำเช่นไร ดูจากอาการป่วยของแม่นางสี่ คาดว่าไม่กี่วันนี้คงรักษาไม่หายหรอก” สตรีสูงวัยกล่าว
เก่อซื่อวิงวอน “ฟู่หมู่คิดข้ออ้างให้ข้าสักข้อเถิด แม่นางสี่ทำตัวไม่ดีก็จริง แต่น่าเสียดายล้วนเป็นความผิดเล็กน้อยในเรื่องหยุมหยิม ด่าทอปะทะฝีปากกับคุณหนูบ้านอื่น ตีคนในงานชมสวน…หากแม่นางสี่ทำความผิดใหญ่สักข้อก็ง่ายแล้ว เป็นข้าเองที่ประมาท เมื่อก่อนนางอายุน้อยไม่มีปัญญาก่อเรื่องใหญ่อันใด บัดนี้โตแล้วข้ากลับไม่ได้จัดฉากให้ดี นึกว่ามีเวลาหลายเดือนให้ค่อยๆ จัดการ เซียวซื่อหญิงเหลี่ยมจัดนั่นบอกว่าต้องอีกหลายเดือนจึงจะกลับ แต่จู่ๆ กลับจะมาถึงในไม่กี่วันนี้แล้ว!”
สตรีสูงวัยถอนหายใจเป็นคำรบสามก่อนเอ่ย “ขอข้าคิดดูสักครู่ อืม มีแล้วเจ้าค่ะ เช่นนั้นก็พูดให้เป็นเรื่องเล็กเสียเลย วันก่อนแม่นางรองกลับมาร้องไห้ว่าแม่สามีนางไม่ดีมิใช่หรือ ท่านก็อ้างไปว่าบัดนี้เหล่าคุณหนูอายุน้อยล้วนเติบใหญ่จนใกล้จะได้เวลามองหาสามีให้พวกนางแล้ว อย่างไรเสียสตรีเรียบร้อยสำรวมหน่อยจึงจะดี ผู้ใดจะรู้ว่าแม่นางสี่ยังคงไม่รู้จักโตเช่นนี้ ดังนั้นท่านจึงแข็งใจหมายลงโทษนางให้หลาบจำ ไม่นึกว่าบ่าวระดับล่างจะด้อยการอบรมจนทำงานบกพร่อง จริงสิ ยายเฒ่าโลภมากที่เป็นคนของหลี่จุยนั่น หากจำเป็นก็ผลักนางออกไปรับเสีย…”
เก่อซื่อเอ่ยอย่างยินดี “ฟู่หมู่กล่าวได้ดียิ่ง ทำเช่นนี้นี่ล่ะ หากเซียวซื่อมาพูดจู้จี้กับข้า ข้าจะสาธยายเรื่องเหลวไหลที่แม่นางสี่ทำอยู่ข้างนอกตลอดหลายปีนี้มาให้หมด ดูซินางจะรู้สึกว่าเด็กนี่สมควรได้รับการสั่งสอนหรือไม่” เพิ่งยินดีเสร็จอารมณ์โกรธก็เข้าแทนที่ “มีอันใดน่าหวั่นเกรงกัน นางจะสามารถกินข้าลงไปหรือไร!”
ไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงตะโกนดังมาจากเบื้องนอก ตามด้วยเสียงร้องแหลมของสาวใช้ที่รีบเข้ามา “ฮูหยิน แย่แล้วเจ้าค่ะ พวกท่านใหญ่กลับมาแล้ว! ขบวนรถอยู่หน้าประตูใหญ่นี่เอง! มีรถม้าคันใหญ่ตั้งสิบกว่าคัน ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งให้พวกเรารีบออกไปเจ้าค่ะ” จากนั้นด้านนอกก็ผสมปนเปไปด้วยเสียงฝีเท้าอันสับสนเร่งร้อนกับเสียงเรียกที่ดังขึ้นต่อเนื่อง
เก่อซื่อฟังจบก็เอ่ยด้วยความตกใจ “ไฉนเร็วเพียงนี้ได้!” เสียงนางหยุดไปเล็กน้อย “ไม่ถูกสิ เหตุใดบ้านแม่ทัพวั่นที่อยู่ติดกันไม่มีความเคลื่อนไหวเลยสักนิด ในเมื่อข้าส่งคนไปจับตาอยู่ตลอด! พี่ใหญ่ติดตามแม่ทัพวั่นเรื่อยมามิใช่หรือ” นางเพิ่มเสียงก่อนร้องเรียก “ใครอยู่ข้างนอก รีบไปตามท่านรองมา!”
ฟู่หมู่ของเก่อซื่อพยุงผู้เป็นนายพลางรีบเอ่ย “ฮูหยินเลอะเลือนแล้ว เวลานี้ท่านรองจะอยู่บ้านได้อย่างไร อย่ามัวสนใจเรื่องพวกนี้เลย ออกไปต้อนรับคนก่อนเถิด ไม่อาจบกพร่องมารยาทนะเจ้าคะ…ไม่สิ ยังคงไปที่เรือนแม่สามีของท่านก่อนแล้วไปพร้อมกับนางจะดีกว่า!”
เก่อซื่อขยี้เท้าแรงๆ แล้วเอ่ยด้วยโทสะ “ดูคู่ครองดีเลิศที่ท่านพ่อหาให้ข้าสิ วันทั้งวันสามีข้าอ่านปรัชญาข่งจื่ออันใดกันแน่ น้องสามของเขาอ่อนกว่าเขาตั้งหลายปี ตอนนี้อวยยศตั้งหลายร้อยตั้น* แล้ว แต่เขาเล่าเรียนมากี่ปี กลับยังไม่เห็นเรียนได้ชื่อชั้นฐานะออกมาสักอย่าง! มารดาเขาก็แสร้งโง่ไม่รับรู้ ห่วงแต่ความสบายของตนเอง…”
เสียงพูดเคลื่อนห่างไปทีละน้อย อวี๋ไฉ่หลิงยันแขนเปลี่ยนท่านอนอย่างยากลำบาก ลูบหน้าผากที่ร้อนลวกของตน รู้สึกร่างกายปวดเมื่อยอ่อนแรง ร้อนเหนอะหนะเหงื่อซึมเป็นระยะ ชั่วขณะนี้เธอไม่มีความคิดอื่นใด มีแต่หลับเป็นตายจึงจะเป็นวิธีการอันดี หาไม่ย่อมจะผิดต่อ ‘ยาฆ่าแมลง’ ที่กินตลอดหลายวันที่ผ่านมา!
หญิงแก่แซ่เก่อนี่ ไม่มีปัญญาจะงัดข้อกับคู่ปรับซึ่งๆ หน้า ได้แต่มาหาเรื่องเด็ก สมน้ำหน้าแล้วที่สามีอ่อนแอไม่เอาไหน เห็นเก่อซื่อปากแหลมแก้มตอบ บนร่างคล้ายมีเนื้อไม่ถึงสามตำลึง สีหน้าอมเขียวราวกะหล่ำดอก ต้องเป็นเพราะกลางคืนอินหยางไม่สมดุล กลางวันไฟตับมากเกินไป** มีโทสะทว่าไร้ที่ให้ระบายเป็นแน่ ไฉนไม่รู้จักหาคนมาทำให้ตนเองปลอดโปร่งโล่งสบายบ้างหรือไร คอยหาเรื่องพี่สะใภ้กับหลานสาวแล้วจะทำให้หลั่งฮอร์โมนไม่ติดขัด หน้าตาเปล่งปลั่งผ่องใสหรืออย่างไรกัน! เป็นคนสติไม่ดีที่บรรพชนสิบแปดรุ่นไม่สั่งสมบุญกุศลชัดๆ!
* ตงจื้อ หรือวันเหมายัน คือหนึ่งในยี่สิบสี่ฤดูลักษณ์ของจีน ตรงกับวันที่ 21 22 หรือ 23 ธันวาคม เป็นวันที่กลางวันสั้นที่สุดและกลางคืนยาวที่สุดในรอบปี
* ไท่เสวีย คือสำนักศึกษาชั้นสูงของจีนในสมัยโบราณ เป็นสถานศึกษาที่มีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาสถานศึกษาชั้นสูงของทางการ
* ขุนนางจีนโบราณในยุคแรกๆ ยังไม่ได้มีการแบ่งยศเป็นขั้นเหมือนในยุคหลังๆ จึงเรียกยศขุนนางโดยอ้างอิงจากเบี้ยหวัดที่ได้รับในแต่ละปีซึ่งมักจะเป็นข้าวหรือธัญพืชที่มีมูลค่าเทียบเท่ากัน ตั้นเป็นหน่วยชั่งของจีน 1 ตั้นเท่ากับ 10 โต่ว หรือ 100 ลิตร แต่ภายหลังตัวเลขเหล่านี้ใช้เป็นเกณฑ์แบ่งยศเท่านั้น มิได้ใช้อ้างอิงในการจ่ายเบี้ยหวัดให้ขุนนางอย่างแท้จริง
** ไฟตับมากเกินไป เป็นศัพท์ทางการแพทย์แผนจีน ไฟในที่นี้หมายถึงกลุ่มโรคที่เกิดจากความร้อนในร่างกาย อาการไฟตับมากเกินไปมักเกิดจากความกลัดกลุ้มใจ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.