เฉิงสื่ออดกลั้นจนเหลืออดแล้ว “ข้ารู้หรอก นั่นไม่ใช่แต่งลูกสะใภ้ แต่จะรับอนุเลี้ยงสาวใช้ต่างหาก! ต่งหย่งบุตรชายของท่านน้าอ่อนกว่าข้าหลายปี กลับรับเลี้ยงไม่รู้ตั้งกี่คนแล้ว ใช่ว่าเขาไม่มีทายาทเสียหน่อย ยังจะขอเงินมากเพียงนี้อีก…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก้มมองเซียวฮูหยินที่คุกเข่ากับพื้น ก่อนเงยหน้ามองเฉิงสื่อพร้อมวาจาแดกดัน “หลายปีมานี้เจ้าถลุงเงินเท่าไรให้เซียวเฟิ่งเล่าเรียนแต่งภรรยา ไม่ยักเห็นเจ้ากะพริบตาสักหน น้องชายภรรยาเจ้าเป็นญาติ น้องชายมารดาเจ้าเป็นคนนอกหรือ! ยิ่งไปกว่านั้น การหาสาวใช้มาปรนนิบัติสามีกับพ่อแม่สามีมากหน่อยเรียกว่าภรรยาเอกของอาหย่งมีน้ำใจงามรู้เหตุรู้ผล ไม่เหมือนกับบางคน…ฮึ หากเจ้ากตัญญูจริง ก็รับอนุสักหลายๆ คนมาปรนนิบัติข้าจึงจะถูก”
เฉิงสื่อรู้ซึ้งว่ามารดาดื้อดึงไร้เหตุผล จึงตอบอย่างโกรธจัด “เล่าเรียนแต่งภรรยาเป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรม แต่รับอนุเลี้ยงสาวใช้…”
เซียวฮูหยินพลันหมุนตัวมาเอ่ยตัดบทสามีเบาๆ “ใต้เท้าอย่าพูดอีกเลย ทำตามที่ท่านแม่บอกก็พอ” แผ่นหลังของนางหันให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง เก่อซื่อ และเหล่าสาวใช้ แววตาที่ส่งไปหาสามีสั่นไหวนิดๆ คล้ายสื่อความนัย ทว่าพวกฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่อยู่ด้านหลังล้วนไม่อาจเห็นอารมณ์บนใบหน้าของนาง มีเพียงอวี๋ไฉ่หลิงที่เห็นถนัดชัดแจ้ง
เฉิงสื่อหลับตาชั่วครู่ ก่อนประสานมือเอ่ยอย่างจนใจ “ท่านแม่กล่าวถูกต้อง ค่ำมืดเพียงนี้ท่านแม่ควรจะเข้านอนแล้ว”
เห็นบุตรชายคนโตกับลูกสะใภ้ใหญ่ล้วนยอมก้มหัวแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจึงลุกขึ้นออกเดินไปด้วยความพึงพอใจ โคลงศีรษะอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องราวเสนาบดีเต่าแห่งวังมังกรทะเลบูรพา ด้านหลังมีสาวใช้เจ็ดแปดคนติดสอยห้อยตาม เก่อซื่อรีบตามขบวนไปด้วย ในใจลอบยินดีที่ผ่านด่านแม่นางสี่ล้มป่วยด่านนี้ไปจนได้ เห็นทีว่าเซียวฮูหยินจะยังคงกริ่งเกรงแม่สามีอยู่ จึงไม่กล้าเข้ามายุ่มย่ามนัก ไม่กี่วันที่ผ่านมาตนตื่นตูมไปเปล่าๆ แม้แต่ข้ออ้างที่เตรียมไว้ก็ไม่ต้องใช้ ก่อนก้าวพ้นประตูเก่อซื่อยังชำเลืองมองหลี่จุยคนสนิทของตนอย่างลำพองใจ คล้ายกำลังบอกว่า…ดูสิ ปลอดภัยหมดเรื่องแล้ว
หลี่จุยย่อมเออออ รีบก้าวขึ้นหน้าไปพยุงนายหญิงของตนทั้งที่ลอบแปลกใจ เมื่อสิบปีก่อนมีศึกใหญ่ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้เช่นนี้บ่อยครั้ง โดยมากยุติลงด้วยการก้มหัวขอขมาของเซียวฮูหยิน หากบานปลายรุนแรง ท่านใหญ่เฉิงสื่อก็จะโต้เถียงไปมากับมารดาหนึ่งยกก่อนปิดฉากแยกย้ายกันไปอย่างไม่สบอารมณ์
ทว่าวันนี้เซียวฮูหยินแม้ขอขมาติดๆ กัน ท่าทีกลับดูไม่ร้อนรนสักเท่าใด ให้ความรู้สึกว่าทำอย่างขอไปทีอยู่บ้าง ท่านใหญ่เฉิงสื่อยิ่งดูพิกล เมื่อก่อนสถานการณ์เช่นนี้เป็นต้องโวยวายหลายประโยคจึงจะถูก วันนี้ถึงกับเลิกราอย่างง่ายดายเช่นนี้ ซ้ำไม่ได้เร่งพยุงเซียวฮูหยินที่ยังคุกเข่าก้มคำนับกับพื้นขึ้นมา ทว่าคิดส่วนคิด หลี่จุยไม่กล้าพูดให้มากความหรอก นางรู้ดีฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไม่แน่ว่าจะชอบนายหญิงของนางมากมายอะไร เพียงแต่ชิงชังเซียวฮูหยินเหลือเกินจึงใช้ลูกสะใภ้รองเป็นเครื่องมือต่อกรกับลูกสะใภ้ใหญ่เท่านั้นเอง
ครั้นเห็นขบวนของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกับเก่อซื่อทั้งสองกลุ่มถอยออกจากห้องไปดุจกระแสน้ำไหล รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวฮูหยินก็อันตรธานไป หันหน้ากลับมามองเฉิงสื่อนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาสักคำ
เฉิงสื่อถอนหายใจ นั่งลงบนเก้าอี้พับที่มารดาของตนนั่งเมื่อครู่ หันไปมองบุตรสาวที่พิงร่างสาวใช้สลบไสลไปอีกครา ก่อนถอนหายใจออกมาเป็นคำรบสอง
อาชิงลุกขึ้น สั่งให้สาวใช้สองคนนั้นปรนนิบัติอวี๋ไฉ่หลิงเอนนอนลง ตนเองลูบสัมผัสหน้าผากเด็กสาวอย่างละเอียดถี่ถ้วน ค่อยปล่อยม่านต่วนแพรผืนหนักลงจากราวกั้นเตียงเองกับมือ จากนั้นทำมือสั่งการสาวใช้ที่เหลือให้ถอยออกไปตามลำดับ แล้วปิดประตูห้องโดยไร้เสียง
ภายในพื้นที่ซึ่งปิดกั้นด้วยผ้าม่านแล้วนี้ อวี๋ไฉ่หลิงนอนตะแคงหันหน้าเข้าด้านใน เพียรปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอแสร้งหลับต่อไป เปลือกตาปิด มือกำหมัด ฝ่ามือผุดเหงื่อซึม ไม่รู้ว่าสามีภรรยาคู่นี้จะพูดอันใดเป็นการส่วนตัว…ตอนนี้อวี๋ไฉ่หลิงสนใจใคร่รู้ในตัวบิดามารดาของร่างนี้เป็นที่สุดแล้ว