กล่าวมาถึงตรงนี้นางก็เปล่งเสียงหัวเราะหยัน ก่อนเอ่ยต่อช้าๆ ราวกำลังพูดคุยสัพเพเหระ “ปีนั้นคนสกุลตงหลีว์ที่บ้านเกิดของพวกเราแต่งภรรยาคนที่สอง เจ้ายังจำได้หรือไม่ ทางบ้านของภรรยาคนแรกที่เสียไปใช่ว่าไม่มีกำลังคน สามีก็ไม่ใช่พวกดวงตามืดบอด ใครจะรู้พอภรรยาคนที่สองคลอดได้บุตรชายของตนเอง กลับฉวยจังหวะขณะพวกบุรุษออกไปตรวจตราป้องกันโจรขโมย จับบุตรชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่เกิดจากภรรยาคนแรกไปขายแล้วอ้างว่าเด็กพลัดหายไป ทำเอาคนทั้งหมดตกตะลึง อุทานว่าไฉนจึงมีสตรีโง่เง่าสิ้นคิดเยี่ยงนี้ได้ ทว่าใต้หล้ามีคนที่ไร้สมองพรรค์นี้อยู่จริงๆ มักคิดไปเองว่าตนกระทำชั่วแล้วยังจะสามารถอยู่รอดลอยนวล”
ชิงชงต่อบทสนทนา “ต่อมาตอนที่จับตัวสตรีผู้นั้นมาสอบสวน นางยังร่ำร้องว่าตอนนี้สกุลตงหลีว์เหลือแต่บุตรชายของนางแล้ว จะเอาชีวิตมารดาผู้ให้กำเนิดไม่ได้ สุดท้ายผู้นำสกุลตงหลีว์เป็นผู้ชี้ขาด ยังคงให้นางฆ่าตัวตายไปเสีย เฮ้อ น่าเสียดายบุตรชายที่นางให้กำเนิด เพียงไม่กี่วันก็ลาโลกไป ไม่นานนักสกุลตงหลีว์ก็แต่งสะใภ้ใหม่เข้ามาและให้กำเนิดบุตรธิดามาทดแทน ผู้ใดเล่ายังจะจดจำนางได้อีก”
เซียวฮูหยินกล่าว “ที่ข้ารู้สึกเสียดายกลับเป็นบุตรชายหญิงที่เกิดจากภรรยาคนแรก ต่อให้สังหารตัวการไปแล้ว ไม่ว่าคนสองสกุลจะปวดใจสักเพียงใด เด็กชายหญิงที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคู่นั้นก็ล้วนไม่อาจตามหาคืนมาได้อีก ไม่รู้อยู่ข้างนอกจะถูกผู้อื่นเหยียบย่ำเช่นไรบ้าง” น้ำเสียงนางพลันเปลี่ยน “แล้วนับประสาอะไรกับสกุลเฉิงที่เทียบสกุลตงหลีว์ไม่ได้ด้วยซ้ำ หากเหนียวเหนี่ยวล้มป่วยจากไปจริงๆ ใต้เท้าจะสามารถเอาชีวิตเก่อซื่อเพื่อลูกได้หรือ ซ้ำเหนือขึ้นไปก็ยังมีท่านแม่อยู่อีกทั้งคน”
ถ้อยคำเอ่ยมาถึงตรงนี้ สายตาของเซียวฮูหยินก็จรดนิ่งบนใบหน้าของเฉิงสื่อ เฉิงสื่อมองตอบภรรยาโดยไม่พูดจา
เห็นท่านใหญ่สามีภรรยาใช้สายตามองกันไปมา ชิงชงก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา “ข้าด้อยปัญญา คิดว่าอยู่ในจวนต่อให้ถูกดุด่าเช่นไรก็คงไม่เกิดเรื่องใหญ่โต แต่หากก้าวพ้นประตูใหญ่ไปก็ไม่แน่แล้ว” คิดในแง่ร้ายสักหน่อย แม่นางน้อยไปอยู่เรือนสวนโดยไม่มีบ่าวคุ้มกันดูแล อาจเจอเข้ากับนักเลงหัวไม้แล้วถูกข่มเหงก็สุดจะรู้ ถึงตอนนั้นเรื่องเสียเปรียบที่พูดร้องทุกข์ไม่ออกนี้จะไม่กล้ำกลืนลงไปก็ต้องกล้ำกลืนลงไปอยู่ดี
เซียวฮูหยินมองดูสีหน้าอึมครึมเคืองใจของสามีพลางยิ้มเยาะ “ยังดีนะ พื้นเพของพวกเรามาจากชนบท กำลังทรัพย์ไม่มากนัก นานปีมานี้จึงซื้อเรือนสวนเล็กๆ รวมแค่สองแห่ง หากเป็นชนชั้นสูงมาหลายชั่วคนเช่นสกุลหยวนสกุลโหลว ทรัพย์สินคงเกินจะนับ มีที่นาทอดยาวถึงสองสามอำเภอ เช่นนั้นต่อให้ข้าป้องกันอย่างไรก็ป้องกันไม่ไหวหรอก”
เฉิงสื่อหลับตาชั่วอึดใจก่อนเอ่ยเสียงหนัก “เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว เหล่านี้ข้าล้วนเข้าใจดี อาชิง เจ้าเรียกเฉิงซุ่นไปรอข้าที่เรือนหน้าที”
ชิงชงเผยความยินดีบนใบหน้า รีบขานรับก่อนออกไป อาจู้เห็นเช่นนั้นก็ค้อมกายถอยออกไปเช่นกัน
รอบข้างไร้ผู้อื่นแล้ว เซียวฮูหยินยืนขึ้นช้าๆ เดินไปถึงข้างกายสามี สองมือคลึงบ่าที่หนากว้างของเขาพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ในตำราว่าไว้ไม่ใช่หรือ ฝืนใจคล้อยตามก็เป็นความอกตัญญูอย่างหนึ่ง หลายปีมานี้ท่านแม่ทำเกิน…”
เฉิงสื่อยกมือข้างหนึ่งวางทับมือภรรยาที่อยู่บนบ่าของเขาก่อนเอ่ย “ข้าเข้าใจ เมื่อก่อนตอนที่ทางบ้านยากไร้ ท่านแม่มิได้เป็นเช่นนี้ ขอเพียงมีเสบียงเหลืออยู่บ้าง นางล้วนยินดีจุนเจือเพื่อนบ้านที่ขัดสน แม้ปากร้ายไปสักหน่อย ทว่าน้ำใจนั้นจริงแท้ ตรงข้ามกับหลายปีนี้ พอมั่งมีแล้วท่านแม่กลับวางอำนาจขึ้นทุกที เอะอะก็เรียกร้องเงินเรียกร้องตำแหน่งขุนนางให้น้าต่ง ซ้ำยังถูกยุยงจนไปฮุบที่นาของผู้อื่น น้าต่งยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ข้าเสี่ยงชีวิตอยู่แนวหน้า ส่วนเขารับเงินอยู่แนวหลัง ถือสิทธิ์อะไรกัน ถ้าไม่ใช่ท่านแม่…”
ตอนนี้ชิงชงเดินกลับเข้ามารายงานว่า “ใต้เท้า พ่อบ้านเฉิงซุ่นมารอแล้วเจ้าค่ะ”
เฉิงสื่อลุกขึ้นยืนก่อนเอ่ยกับภรรยา “ตลอดทางมานี้เจ้าเองก็เหนื่อยมาก พักผ่อนเร็วหน่อยเถิด อีกไม่กี่วันลูกๆ จะตามกลุ่มของแม่ทัพวั่นมาถึงแล้ว เจ้าอย่าได้หักโหม” จบคำเขาก็ผลักประตูเดินออกไป
ชิงชงรีบเดินตามไปปิดประตูก่อนหมุนตัวมาเอ่ยปนยิ้ม “นายหญิง ท่าทางใต้เท้าจะตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้วนะเจ้าคะ”
เซียวฮูหยินไม่พูดจา เพียงเบนสายตาไปทางเตียงนอน ชิงชงก็เข้าใจความนัย รีบตรงไปแง้มม่านดูอย่างเบามือเบาเท้า เห็นเด็กสาวตัวเล็กกำลังหลับลึก ลมหายใจให้สัมผัสอันร้อนชื้น นางจึงปล่อยม่านลงแล้วหันมากล่าว “เห็นทีไข้จะยังไม่ลดลงทั้งหมด หลับลึกเชียวเจ้าค่ะ”
เซียวฮูหยินประคองเอวเดินไปนั่งบนเก้าอี้พับ “ขจัดโรคเฉกเช่นการสาวไหม หมอหลวงตรวจอาการแล้ว บอกว่ากินยาอีกหลายเทียบจึงจะหายสนิท”
อวี๋ไฉ่หลิงแสร้งหลับอย่างช่ำชองแนบเนียน ในใจแสนจะคึกคักตื่นเต้น ท่านแม่ของฉันในชาตินี้เยี่ยมยอดยิ่งกว่าในชาติก่อน สามารถสับเปลี่ยนบุคลิกได้สบายๆ เวทีออสการ์ติดค้างท่านหนึ่งรางวัล!