จากนั้นม่านประตูก็เลิกขึ้นพร้อมหอบพาไอหนาวเล็กน้อยเข้ามาด้วย เฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินเพียงพาชิงชงเข้ามาในห้อง อาจู้ที่เมื่อครู่ยังพร่ำบรรยายอยู่ว่าในยานี้ใส่ตัวยาหายากลงไปมากเท่าใดนั้น รีบฉวยชามยาจากมืออวี๋ไฉ่หลิง แล้วพยุงคุณหนูไปหมอบบนพื้นกระดานอันเงาวาว อวี๋ไฉ่หลิงยกสองแขนทำความเคารพ ปากก็ขานว่า “คำนับท่านพ่อท่านแม่ ท่านพ่อท่านแม่สบายดีหรือไม่เจ้าคะ”
ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าวันนี้เฉิงสื่อถอดชุดนักรบออกไปแล้ว เพียงสวมชุดลำลองหลวมยาวสาบตรงสีเข้มปักไหมทอง รัดสายคาดแถบกว้างสีดำปักไหมเงิน ข้างเอวไม่มีเครื่องประดับหยกหรือทองแต่อย่างใด ฝ่ายเซียวฮูหยินสวมชุดชวีจวีลายดอกใหญ่สีม่วง ใต้ชุดเผยชายกระโปรงสีม่วงอ่อนราวสองฝ่ามือ คอเสื้อล้อมด้วยขนจิ้งจอกสีขาวหิมะวงหนึ่ง เกล้ามวยกึ่งยกสูง ตรึงประดับด้วยปิ่นหยกขาวหงส์ทอง หยกขาวกระทบกันบังเกิดเสียงกริ๊กๆ ข้างหู ยิ่งขับเน้นให้รูปโฉมงดงามพลิ้วไหว บุคลิกไม่สามัญ
เฉิงสื่อเห็นบุตรสาวดูกระชุ่มกระชวยกว่าเมื่อวานมาก ในใจให้ยินดีปรีดา ทว่ากลับไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี จึงทำเพียงนั่งลงบนตั่งพร้อมกับหัวเราะหึๆ ฝ่ายชิงชงประคองเซียวฮูหยินนั่งลงด้านข้าง ส่วนอวี๋ไฉ่หลิงในฐานะบุตรสาวได้แต่ก้มหน้านั่งคุกเข่าบนเบาะเบื้องล่างต่อไป
ไม่เฉพาะแต่เฉิงสื่อที่ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี ต่อให้เซียวฮูหยินเปี่ยมไหวพริบมากแผนการยามนี้ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรเช่นกัน จึงได้แต่กระแอมเบาๆ ก่อนไถ่ถาม “ลูกแม่ดีขึ้นแล้วหรือไม่”
อวี๋ไฉ่หลิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบเสียงแผ่ว “ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” เธอไม่ได้เจตนา เพียงแต่ยามอยู่ต่อหน้าบิดามารดาซึ่งได้มาเปล่าๆ คู่นี้แล้วพลันใจฝ่อร้อนตัว เสียงจึงอ่อยลงไปเอง
ไม่เงยหน้ายังพอทำเนา ทันทีที่บุตรสาวเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นนางน้ำตารื้น เฉิงสื่อก็โพล่งถามอย่างร้อนใจ “เหตุใดลูกพ่อจึงหลั่งน้ำตาเล่า”
ขณะคิดจะพูดว่า ‘พ่อกลับมาแล้ว เจ้าลูกเต่าตัวใดยังกล้ารังแกลูกพ่อ คอยดูพ่อจะไปเอาคืนให้’ เขากลับได้ยินเสียงค่อยๆ ของบุตรสาวตอบกลับมาก่อน “เป็นเพราะ…ยาขมเหลือเกินเจ้าค่ะ”
อวี๋ไฉ่หลิงไม่รู้ว่าตอนนี้สภาพของตนน่าสงสารถึงเพียงไหน รูปร่างผอมเล็ก สองไหล่ดั่งถูกเกลาจนแบบบาง ผิวพรรณภายหลังเพิ่งทุเลาจากไข้หนักแลดูขาวจนแทบจะกึ่งโปร่งใส ลำคอเล็กเพรียวประคองศีรษะไว้อย่างยากลำบาก แค่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นยังดูง่อนแง่นราวจะล้มพับลงกับพื้น ยามเอ่ยปากออกมาเสียงก็อ่อนแรงยิ่ง เฉิงสื่อรู้สึกว่าหากเพียงฝ่ามือใหญ่ดุจพัดใบลานของตนคว้าไป บุตรสาวก็จะถูกขยำตายราวลูกนกแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เพียงแต่หัวใจอ่อนยวบ กระทั่งเสียงก็อ่อนนุ่มตามไปด้วย “ถ้าอย่างไรเติมอี๋ถังในยาสักหน่อยดีหรือไม่”
วาจานี้เรียกอาการค้อนขวับจากเซียวฮูหยินไปหนึ่งวง ก่อนแย้งด้วยเสียงอันจริงจัง “ใต้เท้าพูดเหลวไหลแล้ว ยาที่หมอหลวงจัดจะเติมสิ่งอื่นส่งเดชได้หรือ ยาดีย่อมขมปาก ได้แต่กินยาแล้วอมน้ำตาลตามเท่านั้น”
เฉิงสื่อรีบขานรับ “ฮูหยินกล่าวถูกต้องยิ่ง” จากนั้นหันไปเอ่ยกับบุตรสาว “ต้องฟังคำของแม่เจ้านะ รอจนหายป่วยแล้ว พ่อจะพาเจ้าไปขี่ม้า ชมงานโคมไฟหลังวันปีใหม่”
ตั้งแต่นับญาติกับบิดามารดาที่ได้มาเปล่าๆ คู่นี้ ก็มีแต่คำพูดนี้ที่เข้าหูเป็นที่สุด อวี๋ไฉ่หลิงดีใจส่งยิ้มให้เฉิงสื่อ ผิวพรรณที่ขาวซีดอมชมพูขึ้นแบบเด็กน้อย น่ารักดุจตุ๊กตาหยกเลยทีเดียว
ในใจเฉิงสื่อเบิกบานเป็นการใหญ่ รู้สึกว่าบุตรสาวตนเป็นแม่นางน้อยที่มีรูปโฉมงดงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าโดยแท้ แม่นางน้อยที่แม่ทัพวั่นให้กำเนิดหนึ่งโขยงนั้นจับมารวมกันเป็นดอกว่านผักบุ้งหนึ่งช่อก็ทาบไม่ติด คราวหน้าร่ำสุรากันจะต้องพูดอวดให้สมใจสักตั้งจึงจะได้ ผิดกับเซียวฮูหยินพอเห็นท่าทางนี้ของอวี๋ไฉ่หลิงกลับยังคงมีสีหน้าซับซ้อน
เฉิงสื่อนึกภาพอันบรรเจิดคนเดียวรู้สึกว่าไม่เพียงพอ ยังหันไปฉีกยิ้มพูดกับภรรยาด้วย “เหนียวเหนี่ยวของพวกเราชวนมองจริงเชียว” จากนั้นเสริมอีกประโยคในทันที “ล้วนเป็นคุณความดีของฮูหยิน”
ชิงชงมองฟ้าอย่างอับจนถ้อยคำ นางรู้มาตลอดว่าใต้เท้ามีอาการตาฟาง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคุณหนูหน้าไม่เหมือนบิดามารดาเลย ตามที่นางเห็น รูปโฉมของคุณหนูแม้ไม่เลว ทว่าดูแล้วชวนให้สงสารไม่ค่อยผ่าเผยมั่นใจ ไหนเลยจะเปรียบกับเซียวฮูหยินที่เปี่ยมสง่าราศีได้