ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 5
เซียวฮูหยินเห็นแล้วมุมปากเต้นกระตุกไม่หาย ในใจคิดว่า น่าเสียดายที่แม่สามีมาเกิดพลาด หากเกิดเป็นบุรุษจะต้องเป็นแม่ทัพที่ห้าวหาญผู้หนึ่งแน่ นางคิดพลางถอยห่างอย่างระมัดระวัง เผื่อมีกำปั้นหลงมาทำร้ายถูกผู้บริสุทธิ์ ใครจะรู้พอหันหน้ามา กลับเห็นบุตรสาวขยับหลบเข้ามุมด้วยท่วงท่าที่เหมือนกับตนไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งยังหันไปพูดบางอย่างกับอาจู้ ท่ามกลางความชุลมุนเพียงได้ยินไม่กี่คำว่า “ท่านย่าควรไปเป็นแม่ทัพ…” ถ้อยคำยังกล่าวไม่จบ บุตรสาวก็ถูกอาจู้ดึงไปหลบที่ด้านหลังแล้ว
เซียวฮูหยินตะลึงงัน
อาจู้เห็นสถานการณ์วุ่นวาย เดิมคิดจะดึงตัวอวี๋ไฉ่หลิงออกจากห้อง ทว่าตอนนี้อวี๋ไฉ่หลิงกำลังคึกคักตื่นเต้นสุดขีดจะยอมไปได้อย่างไรเล่า
อาจู้ดึงแล้วไม่ขยับ เห็นเด็กสาวขดซุกเข้ามุมพลางประคองชามยาไว้แน่น ร่างเล็กๆ ยังสั่นสะท้านนิดๆ ด้วย อาจู้จึงเข้าใจไปว่าเด็กสาวตกใจจนตัวสั่น ทั้งคิดว่าตอนนี้นางใกล้จะหายป่วยแล้วไม่ควรออกไปตากลม นายหญิงเองก็ไม่ได้สั่ง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ขายหน้าคือฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง อาจู้จึงไม่เจ็บไม่คันแต่อย่างใด
ขณะที่อาจู้กำลังเปลี่ยนความคิดอยู่นั้น อวี๋ไฉ่หลิงก็ฟังเบาะแสจากเสียงคร่ำครวญของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงออกแล้ว จึงนำมาปะติดปะต่อกับอดีตบางช่วงที่อาจู้เล่าตั้งแต่ครู่ก่อน จนไล่เลียงต้นสายปลายเหตุได้กระจ่างในที่สุด
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสกุลเดิมแซ่ต่ง เมื่อครั้งที่บ้านเมืองระส่ำระสายหนัก คนสกุลต่งที่หนีก็หนี ที่ตายก็ตาย มีเพียงครอบครัวน้องชายคนเล็กของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่ทนทายาดจนกระทั่งเฉิงสื่อรุ่งเรืองขึ้นมา สกุลต่งจึงใช้ชีวิตโดยพึ่งพาสกุลเฉิงมานับแต่นั้น
น่าเสียดายร่องนิ้วมือของเซียวฮูหยินชิดสนิทยิ่ง เงินทองที่ตกถึงมือฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจึงไม่มากมาย ซ้ำยังรั่วไหลไปให้สกุลต่งอีก ดังคำกล่าวว่ามอบปลาให้มิสู้สอนวิธีจับปลา เพื่อให้สกุลต่งพลอยได้หน้าได้ตามากๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ‘ผู้ชาญฉลาด’ จึงสั่งให้เฉิงสื่อหาหน้าที่การงานแก่น้าชายสกุลต่ง น่าเสียดายน้าต่งทั้งอ่านหนังสือไม่ออก ค้าขายไม่เป็น ซ้ำยังรังเกียจว่าทำไร่นาเหนื่อยยากได้ดอกผลช้า จึงล้มไม่เป็นท่าอยู่ข้างนอกครั้งแล้วครั้งเล่า
สุดท้ายเมื่อสองสามปีก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงได้ยินว่าการศึกแนวหน้าเริ่มผ่อนคลายลงตามลำดับ จึงบังคับให้เฉิงสื่อหาตำแหน่งในกองทัพให้กับน้าต่ง คิดว่ามีหลานชายคอยดูแลอยู่ คงจะไม่ถูกผู้อื่นข่มเหงอีก ประกอบกับเซียวฮูหยินก็ไม่มีข้ออ้างจะบอกปัดแล้ว
จริงดังที่คิดไว้ สองปีมานี้น้าต่งหาเงินได้มาก ยืดเอวยืดหลังตรงได้เสียที ยังสามารถส่งข่าวถึงพี่สาวเป็นระยะว่าเฉิงสื่อสองสามีภรรยาจับเชลยยึดสิ่งของได้รับบำเหน็จรางวัลเท่าใด ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงนับวันยิ่งกระหยิ่มได้ใจ เอะอะก็เรียกร้องเงินทองที่นาจากบุตรชาย พี่สาวกับน้องชายคู่นี้ไม่รู้ใช้ชีวิตสุขสบายมากเพียงไหน
เดิมทีช่วงไม่กี่วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกำลังรอน้องชายกลับมารายงานความเจริญก้าวหน้าล่าสุดของบุตรชายนาง ใครจะรู้ยังไม่ทันรอคนกลับมา กลับรอได้ข่าวร้ายเรื่องหนึ่ง ที่แท้น้าต่งยักยอกยุทโธปกรณ์กับเสบียงกองทัพไปขายข้างนอก บัดนี้เรื่องแดงออกมาจึงถูกฟ้องคดีแล้ว
ข้อหาเยี่ยงนี้ต่อให้ลดโทษก็ต้องถูกริบทรัพย์ คนในบ้านตกเป็นทาสหลวงไม่พอ ตัวการยังต้องถูกประหารกลางตลาดด้วยการบั่นเอว
ทันทีที่ได้ยินข่าว น้าสะใภ้ต่งก็พาลูกสะใภ้มาร้องขอความช่วยเหลือ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงฟังแล้วหวิดจะลมจับ ด้วยเหตุนี้ ‘โนบิตะ’ ฉบับหญิงชราจึงปรี่มาหา ‘โดเรม่อน’ ที่แต่งภรรยาแล้วและไม่ค่อยจะอยู่ในโอวาทนัก
เฉิงสื่อทุ่มพละกำลังซึ่งเหี้ยมหาญเป็นที่หนึ่งในกองทัพมาปัดฝ่ามือใหญ่ของมารดาออกไป ก่อนเหลียวมองภรรยาแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว เห็นแววตาของเซียวฮูหยินวูบไหวนิดๆ การเคลื่อนไหวเพียงชั่วขณะเดียวนี้ถึงกับถูกอวี๋ไฉ่หลิงเห็นเข้าอย่างจัง เด็กสาวคิดในใจว่า ฉากสำคัญมาถึงแล้ว
เฉิงสื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ สะบัดแขนเสื้อที่ยับย่น ค้อมกายคำนับมารดาแล้วทรุดเข่าลงไปตรงๆ นัยน์ตาพยัคฆ์มีหยดน้ำขังคลอ อวี๋ไฉ่หลิงชมดูฝีมือการแสดงนี้พลางอุทานในใจว่า ยอดเยี่ยม จากนั้นเฉิงสื่อก็ถอนหายใจยาวด้วยความทุกข์ตรม “ท่านแม่! เรื่องนี้เมื่อเช้าข้าได้ยินบ่าวรายงานแล้ว เดิมคิดจะแจ้งท่านแม่ แต่…แต่ไม่รู้จะเริ่มพูดเช่นไรดีจริงๆ…”
ชิงชงมองฟ้าอย่างอับจนถ้อยคำอีกครา นางรู้ว่าใต้เท้าสามารถแสร้งเขลาได้ราวกับเขลาจริง เห็นกันอยู่ว่าเร่งมาเยี่ยมบุตรสาวแต่เช้าตรู่ ทว่ายังคงประเมินความไวในการเคลื่อนไหวของน้าสะใภ้ต่งกับลูกสะใภ้ต่ำไปจึงได้ถูกสกัดอยู่ที่นี่ ท่านจะพูดปดก็พูดให้รัดกุมหน่อยได้หรือไม่ ช่างเสียแรงที่นายหญิงสอนอย่างเหนื่อยยากทั้งคืน
เก่อซื่อที่มาประคองฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสบช่องจึงเอ่ยแทรกเสียงหวานเยิ้ม “ถึงอย่างไรก็เป็นน้าชาย พี่ใหญ่ลำบากใจเช่นไรก็ต้องช่วยเหลือนะเจ้าคะ!” นางพูดพลางพิศมองเฉิงสื่อผู้สูงใหญ่ผึ่งผาย
อวี๋ไฉ่หลิงรู้สึกคลื่นเหียนไม่หาย คิดในใจว่า…อีกรายแล้วที่ขาดคันฉ่องดีๆ สักบาน ไม่ว่าจะรูปร่างเครื่องหน้า บุคลิก หรือความรู้ของเจ้า ล้วนห่างชั้นจากมาดามเซียวอย่างน้อยก็สิบแปดพานจินเหลียน* เจ้ารู้ตัวสักทีเถอะ
เซียวฮูหยินเดินปราดขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยกับเก่อซื่อด้วยเสียงอันเยียบเย็นชวนสะพรึง “ผู้ที่ใต้เท้าคุกเข่าคำนับคือท่านแม่ น้องสะใภ้ยังไม่หลีกไปอีก ต้องการจะรับการคุกเข่าคำนับนี้ด้วยหรือไร”
ไม่รอให้เก่อซื่อพูดจา ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็พลิกมือตบฉาดแล้วก่นด่าเก่อซื่อด้วยโทสะ “เจ้ายังไม่ไสหัวไปอีก! แล่นมาที่นี่เพื่อจะดูเรื่องขบขันในสกุลเดิมของข้าหรือ!” เรื่องฉาวโฉ่ของสกุลเดิมนางไม่อยากจะให้คนล่วงรู้มากนัก ทว่าพอได้ยินข่าวเก่อซื่อกลับกระวีกระวาดติดตามมาทันที ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีหรือจะไม่รู้ไส้รู้พุงของเก่อซื่อ เพียงแต่เมื่อแรกคร้านจะไยดีเท่านั้น
ฝ่ามือนี้ตบมาทั้งดังทั้งหนักหน่วง บนแก้มของเก่อซื่อปรากฏรอยบวมแดงปื้นใหญ่ทันตา นางอับอายระคนคับแค้นยากทานทน จึงป้องหน้าวิ่งร่ำไห้ออกจากประตูไปโดยไม่มองผู้อื่น
* พานจินเหลียน ว่ากันว่าตัวจริงเป็นบุตรีขุนนางที่มีรูปโฉมงดงามฉลาดเฉลียว สนับสนุนอู่จื๋อ (หรืออู่ต้าหลาง) สามีซึ่งเดิมมีฐานะยากไร้จนกระทั่งผ่านการสอบขุนนางได้เป็นนายอำเภอ สองสามีภรรยาครองรักกันจนแก่เฒ่า ตรงข้ามกับพานจินเหลียนหญิงนอกใจสามีที่ถูกเขียนเป็นตัวละครในเรื่องซ้องกั๋งและเรื่องบุปผาในกุณฑีทอง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.