X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 5

โดยมากความกลัวของมนุษย์เกิดจากความไม่รู้ ก่อนหน้านี้สาเหตุเกินครึ่งที่อวี๋ไฉ่หลิงวิตกกับผลได้ผลเสียจนอมทุกข์ ก็เพราะกังวลกับหนทางข้างหน้าที่ไม่รู้แจ้ง ทว่าจากการแอบฟังในช่วงไม่กี่วันนี้ทำให้สงบใจได้ในเบื้องต้นแล้ว บิดามารดาเก่งกาจปราดเปรื่อง ฐานะทางบ้านมั่งมี ตนมีพี่น้องจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมถึงพี่น้องที่เป็นแฝดชาย มีพื้นฐานเช่นนี้อยู่ในมือ ไม่ว่าอย่างไรตนก็คงไม่ได้รับความลำบากเท่าใดนัก

เมื่อสงบใจลงได้ การนอนหนนี้จึงหลับสบายเป็นพิเศษ ทั้งดูเหมือนว่ายาต้มจากบิดามารดาที่ตนได้กำไรมาเปล่าๆ คู่นี้จะมีฤทธิ์ดีเยี่ยม ตนจึงหลับรวดเดียวจนถึงฟ้าสาง ยามที่ลืมตาตื่นไม่เพียงรู้สึกว่าปอดหัวใจปลอดโปร่ง อาการมือเท้าอ่อนแรงยังบรรเทาลงหลายส่วนด้วย

ครั้นหันหน้าไปอย่างอารมณ์ดี เห็นอาจู้นั่งคุกเข่าอยู่ข้างเตียงกำลังจัดวางถ้วยชามอยู่ เด็กสาวก็ยิ่งยินดีระคนประหลาดใจ รีบสอบถามสถานการณ์ ค่อยรู้ว่าที่แท้อาจู้ได้มาเป็นฟู่หมู่ของตนตามความต้องการของเซียวฮูหยินแล้ว ส่วนสาวใช้อีกสองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลังของอาจู้ ท่าทางจะเป็นคนที่เซียวฮูหยินส่งมาปรนนิบัติดูแลตนเช่นกัน

เดิมทีอวี๋ไฉ่หลิงคิดจะอุทานว่าเยี่ยมไปเลย จากนั้นถามถึงอาเหมยกับอาเลี่ยงต่อ แต่พลันฉุกคิดได้ก่อนว่าเช่นนี้ไม่ถูก จึงรีบเปลี่ยนมาถามว่า “ท่านพ่อท่านแม่ของข้ากลับมากันแล้วหรือ หนนี้คงไม่จากไปแล้วกระมัง เช่นนั้นฟู่หมู่กับสาวใช้เดิมของข้าเล่า”

ขอบคุณหนังสือของสตานิสลาฟสกี* ที่ประธานปลาเค็มให้มา นับว่าตนยังไม่ลืมการฝึกฝนในฐานะนักแสดงคนหนึ่ง…เด็กดีจะถามถึงเพื่อนเล่นโดยไม่คิดถึงบิดามารดาก่อนได้อย่างไรกัน

อาจู้ปั้นหน้าขรึม “คุณหนูโตแล้ว พึงรู้จักเหตุผล หลังจากใต้เท้ากับนายหญิงกลับมา ทุกเรื่องของคุณหนูล้วนมีท่านทั้งสองเป็นผู้ตัดสินใจ คนที่เมื่อก่อนฮูหยินรองจัดหาให้เหล่านั้นจะไม่เก็บไว้ทั้งสิ้น”

วาจานี้มีความนัยแฝงอยู่ไม่น้อย อวี๋ไฉ่หลิงทางหนึ่งกลบเกลื่อนความคิดในใจ อีกทางหนึ่งแสร้งทำปากยื่นเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ในเมื่อท่านแม่รู้ว่าอาสะใภ้ทำไม่ดีกับข้า เหตุใดไม่รีบส่งคนมาอยู่ดูแลข้างกายข้าเร็วกว่านี้ ปล่อยให้ข้าได้รับความลำบากตั้งมากมาย” ก็แค่เด็กน้อยที่ไม่รู้ความ เธอสวมบทบาทนี้ได้อย่างไม่รู้สึกกดดันสักนิดเดียว

อาจู้คลี่ยิ้มชี้แจง “หลายปีก่อนข้างนอกวุ่นวายยิ่ง กระทั่งจดหมายยังไม่อาจส่งถึงกันโดยง่าย อีกอย่างเรื่องหยุมหยิมในเรือนหลังต่อให้นายหญิงรับรู้อันใดก็ไม่อาจระงับควบคุมได้ทันกาล ที่ผ่านมาฮูหยินรองเป็นผู้รับผิดชอบดูแลจวน ต่อให้นายหญิงส่งคนมา ยังจะมีประโยชน์ใดเล่า” อันที่จริงคำพูดเดิมของเซียวฮูหยินคือ… ‘บ่าวภักดีหาได้ยาก บัดนี้เป็นห้วงเวลาที่ต้องใช้คน อย่าให้เสียเปล่าไปกับเรื่องสตรีในเรือนหลัง’

อวี๋ไฉ่หลิงปากร้ายคมคายมาแต่เล็ก เดิมทียังคิดจะเสียดสีเซียวฮูหยินผู้ ‘เก่งกาจรอบด้าน’ นี้สักสองประโยค ทว่าเห็นดวงหน้าอิดโรยของอาจู้ก็หักใจไม่ลง

นับแต่มาอยู่ยุคนี้ ผู้ซึ่งตนสนิทชิดใกล้ที่สุดก็ไม่พ้นสตรีที่เงียบขรึมทว่าโอบอ้อมซื่อตรงผู้นี้ นึกถึงเมื่อแรกเพื่อความรอบคอบแล้วอาจู้ถึงขั้นไม่กล้าหาบ่าวมาเป็นลูกมือ งานทุกอย่างล้วนลงแรงทำเอง ตอนที่ตนยังไม่อาจกลืนสิ่งใดได้ อาจู้ก็ต้มยามาป้อนให้ทีละนิด ด้วยหมายจะให้ตนไข้ลด ท่ามกลางหิมะขาวโพลนอากาศหนาวเหน็บเพียงนั้นอาจู้ก็ยังต้มน้ำมาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อให้ตนวันละหลายหน สุดท้ายน้ำในบ่อแข็งตัว ได้แต่ตักหิมะที่สุมอยู่มาละลาย จนทำให้นิ้วมือของอาจู้ซึ่งเดิมนับว่าบำรุงได้ไม่เลวเกิดแผลเปื่อย ไหนจะเพราะคำนึงว่าตนไม่ชอบรสมันเลี่ยนของน้ำแกงเนื้อ นางก็ขึ้นเขาไปเซาะหิมะขุดดินค้นหาเห็ดกับผักที่มีอยู่น้อยนิดนั้นมาใส่น้ำแกงกับมือ คิดว่าหลายวันมานี้อาจู้คงไม่เคยได้พักผ่อนเต็มที่ ยังคงหาเรื่องให้นางน้อยหน่อยจะดีกว่า

อวี๋ไฉ่หลิงจึงก้มหน้ารับคำ “ข้าเชื่อฟู่หมู่” ขืนเรียกตัวบ่าวเก่าที่เคยอยู่ร่วมกันทุกวันมา ก็ยากรับรองได้ว่าตนจะไม่เผยพิรุธ ใช่ว่ากลัวจะมีคนหาว่าตนไม่ใช่ตัวจริง แค่กลัวผู้คนที่เชื่อเรื่องงมงายกลุ่มนี้จะหาว่าตนถูกผีเข้าแล้วจับกรอกด้วยน้ำเสกยันต์อาคมอันใดต่างหาก

อาจู้พออกพอใจยิ่ง ปรนนิบัติอวี๋ไฉ่หลิงบ้วนปากและกินโจ๊ก

อันที่จริงหากบ่าวกับฟู่หมู่เก่าอยู่ตรงนี้ล่ะก็ เป็นต้องประหลาดใจว่าเหตุไฉนคุณหนูถึงเปลี่ยนเป็นว่าง่ายเช่นนี้ ทว่าตลอดหลายวันที่อาจู้ได้ดูแลอวี๋ไฉ่หลิง ล้วนรู้สึกว่าคุณหนูเป็นเด็กดีน้ำใจงาม ดังนั้นจึงไม่นึกแปลกใจแต่อย่างใด

 

* สตานิสลาฟสกี คือนักแสดงและผู้กำกับชาวรัสเซีย ผู้เขียนหนังสือทฤษฎีการแสดงชื่อ An Actor’s Work ซึ่งประกอบด้วยภาค 1 An Actor Prepares ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1938 กับภาค 2 Building a Character ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1948

บนถาดไม้เคลือบเงาสีแดงอมม่วงทรงสี่เหลี่ยมขนาดย่อม มีชามไม้ใบเล็กเคลือบเงาสีเดียวกันวางอยู่สามใบ ตัวชามใช้สีดำเขียนลายสัตว์ตัวน้อยแปลกตาจำนวนหนึ่ง ชามไม้ใบตรงกลางซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าหน่อยใส่โจ๊กที่กรุ่นกลิ่นหอมฟุ้งปะทะจมูก อวี๋ไฉ่หลิงเพียงได้กลิ่นก็รู้ทันทีว่าเป็นโจ๊กเห็ดเคี่ยวกระดูกวัวที่ตนชื่นชอบ ในชามด้านข้างที่เล็กกว่าหน่อยคือผักดองด้วยน้ำส้มกับเกลือสมุทร ให้รสเปรี้ยวเค็มถูกปาก เป็นจานถนัดของอาจู้ ในชามเล็กใบสุดท้ายทรงสี่เหลี่ยมมุมมนถึงกับวางขนมนมหวานสองชิ้นเล็กที่กำจายกลิ่นหอมของนมออกมาทั่วทิศ ไม่รู้ข้างในใส่น้ำตาลไปเท่าไร อวี๋ไฉ่หลิงรู้ว่ายุคนี้น้ำเชื่อมได้มาไม่ง่ายเลย ในชนบทมีอี๋ถัง* สองก้อนก็ทำให้เด็กน้อยน้ำลายสอกันถ้วนหน้าได้แล้ว

ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ตนชอบกิน อวี๋ไฉ่หลิงจึงเจริญอาหารเป็นพิเศษ อาจู้ยิ้มละไมมองอยู่ด้านข้าง อิ่มใจราวกับสิ่งที่กินเข้าปากเด็กสาวนั้นลงท้องของอาจู้เองก็ไม่ปาน

ระหว่างกินอาหารอวี๋ไฉ่หลิงถามถึงอาเหมยกับน้องชาย อาจู้ก็ตอบปนยิ้ม “ด้วยนายหญิงเมตตาไม่รังเกียจ ต่อไปอาเหมยจะมารับใช้คุณหนูเช่นกันเจ้าค่ะ ส่วนอาเลี่ยงยังไม่รู้ว่าจะได้ติดตามคุณชายท่านใด เพียงแต่พวกเขาสองพี่น้องซุกซนอยู่ในชนบทจนเคยตัวแล้ว ตอนนี้ชิงชงฮูหยินจึงกำลังหาคนสอนกฎระเบียบให้พวกเขาอยู่” จากนั้นนางก็แนะนำสาวใช้สองคนที่อยู่ด้านหลังด้วยเลย

สาวใช้หน้ากลมที่อ่อนวัยกว่าอายุราวสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้นมีนามว่าเฉี่ยวกั่ว ส่วนสาวใช้หน้ารีอาวุโสกว่า อายุราวสิบห้าสิบหกปีมีนามว่าเหลียนฝาง ตามคำกล่าวของอาจู้ เซียวฮูหยินผู้ ‘เก่งกาจรอบด้าน’ นั้นมองหาสาวใช้คนสนิทที่ซื่อสัตย์ไว้ใจได้ให้บุตรสาวตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว เห็นชัดว่าสองคนนี้ก็คือผลจากการคัดสรรเลือกเฟ้นมาเป็นอย่างดี

มุมปากของอวี๋ไฉ่หลิงกระตุกนิดๆ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘คนสนิท’ นี้ควรบ่มเพาะด้วยตนเองจึงจะเชื่อถือได้มิใช่หรือไร

“ว่าแต่ชิงชงฮูหยินผู้นั้นคือใครหรือ” อวี๋ไฉ่หลิงและเล็มขนมหวานชิ้นเล็กพลางถาม

อาจู้ยิ้มตอบ “คือน้องสาวร่วมสาบานของนายหญิงเจ้าค่ะ หลายปีมานี้ดีที่นายหญิงมีนางช่วยแบ่งเบา ต่อไปคุณหนูต้องปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพนะเจ้าคะ”

อวี๋ไฉ่หลิงผงกศีรษะรับ ที่แท้ก็คือน้าสาว

หลังกินอาหารเสร็จ เฉี่ยวกั่วก็ยกถาดอาหารออกไป เหลียนฝางรีบหยิบกระบอกไม้เคลือบเงาสูงราวครึ่งฉื่อ*ซึ่งอุ่นอยู่ในถุงนวมออกมาผสมน้ำร้อนให้อวี๋ไฉ่หลิงล้างมือบ้วนปากในอ่างสำริด อันที่จริงอวี๋ไฉ่หลิงยังกินไม่อิ่มเลย ทว่าอาจู้กลับให้กินอิ่มเพียงเจ็ดส่วน โดยชี้แจงเพียงว่า “ประเดี๋ยวยังต้องดื่มยาอีกนะเจ้าคะ”

รอจนล้างมือบ้วนปากเสร็จแล้ว อวี๋ไฉ่หลิงซึ่งเดิมอยากอู้กลับเข้าผ้าห่มไปนอนต่อก็ถูกอาจู้ดึงตัวออกมาเสียอย่างนั้น แล้วพาเดินวนอยู่ในห้องเล็กๆ นี้ “ข้างนอกหนาว คุณหนูยังร่างกายอ่อนแอ เดินยืดเส้นสายในห้องจะดีกว่า”

ในใจอวี๋ไฉ่หลิงไม่ยินยอม ทว่าข้อเท็จจริงคือ ‘อดีตจอมยุทธ์หญิงอวี๋’ ผู้สามารถฉีกขายามเต้นรำและผ่าก้อนอิฐยามต่อยตีนั้น บัดนี้เพียงเดินสองรอบกลับหอบแฮกเสียแล้ว ก่อนหน้านี้เดินตระเวนในหมู่บ้านได้แล้วชัดๆ ปรากฏว่าต้องกลับสู่ช่วงก่อนปลดแอกในชั่วคืนเดียว ต้องเริ่มกินยาพักฟื้นใหม่ตั้งแต่ต้น อวี๋ไฉ่หลิงมีไฟโทสะลุกท่วมท้อง ได้แต่เดินไปพักไป พักไปด่าไป สาปแช่งให้หญิงแซ่เก่อทั้งนายบ่าวออกไปข้างนอกแล้วสะดุดหกล้ม เลี้ยวโค้งแล้วเอวเคล็ด ขากลับเจอนักต้มตุ๋นหลอกจนเสียทั้งเงินทั้งความรู้สึกจึงจะดี!

ยามที่เด็กสาวเดินหอบอยู่ในห้องจนถึงรอบที่แปด เฉี่ยวกั่วหน้ากลมก็ยกยาต้มที่ร้อนฉุยเดินเข้ามา ทันทีที่ม่านขนสัตว์บุนวมหนาถูกเลิกขึ้น สิ่งที่โชยมาปะทะใบหน้าก็คือกลิ่นอันเผ็ดร้อนขมเฝื่อน

อาจู้ประคองอวี๋ไฉ่หลิงไปนั่งบนเตียง แล้วยื่นชามยาตามมาติดๆ อวี๋ไฉ่หลิงเพิ่งจิบไปคำเดียวเท่านั้น ก็รู้สึกได้แต่รสขมจนชาจากปลายลิ้นขึ้นไปถึงหน้าผาก ซ้ำในรสขมยังซ่อนเปรี้ยว ในรสเปรี้ยวยังอมเผ็ด ในรสเผ็ดยังปนกลิ่นคาวเข้าไปอีก รสชาติอันยอดเยี่ยมหลากชนิดนี้ถาโถมโจมตีจนเด็กสาวน้ำตาเล็ดทันใด

อาจู้เห็นเช่นนั้นก็รีบเอ่ยปลอบ “นี่เป็นยาที่หมอหลวงจากในวังจัดให้ จริงอยู่ว่าขมไปสักหน่อย ทว่าเห็นผลชะงัดยิ่ง เมื่อวานคุณหนูกินยานี้ลงไปเทียบเดียว ไข้ก็ลดทันทีเลยนะเจ้าคะ”

พูดน้ำท่วมทุ่ง หากมิใช่อยากหายดีโดยไว ภูตผีล่ะสิจึงจะกินของขึ้นรานี่ อวี๋ไฉ่หลิงประท้วงอยู่ในใจพลางยื่นหน้าไปใกล้ขอบชามอีกหนทั้งน้ำตา ตอนนี้เองเสียงรายงานของเหลียนฝางที่อยู่นอกประตูก็ดังมาให้ได้ยิน “ใต้เท้ากับนายหญิงมาถึงแล้ว”

 

* อี๋ถัง คือน้ำตาลที่เคี่ยวได้จากธัญพืชซึ่งมีองค์ประกอบของแป้ง เช่น ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ถูกใช้เป็นยามาแต่โบราณ อี๋ถังแบบนิ่มมีลักษณะเป็นของเหลวหนืดเหนียวสีเหลืองน้ำตาล อี๋ถังแบบแข็งมีลักษณะเป็นก้อนน้ำตาลสีขาวเหลือง

* ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’

จากนั้นม่านประตูก็เลิกขึ้นพร้อมหอบพาไอหนาวเล็กน้อยเข้ามาด้วย เฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินเพียงพาชิงชงเข้ามาในห้อง อาจู้ที่เมื่อครู่ยังพร่ำบรรยายอยู่ว่าในยานี้ใส่ตัวยาหายากลงไปมากเท่าใดนั้น รีบฉวยชามยาจากมืออวี๋ไฉ่หลิง แล้วพยุงคุณหนูไปหมอบบนพื้นกระดานอันเงาวาว อวี๋ไฉ่หลิงยกสองแขนทำความเคารพ ปากก็ขานว่า “คำนับท่านพ่อท่านแม่ ท่านพ่อท่านแม่สบายดีหรือไม่เจ้าคะ”

ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าวันนี้เฉิงสื่อถอดชุดนักรบออกไปแล้ว เพียงสวมชุดลำลองหลวมยาวสาบตรงสีเข้มปักไหมทอง รัดสายคาดแถบกว้างสีดำปักไหมเงิน ข้างเอวไม่มีเครื่องประดับหยกหรือทองแต่อย่างใด ฝ่ายเซียวฮูหยินสวมชุดชวีจวีลายดอกใหญ่สีม่วง ใต้ชุดเผยชายกระโปรงสีม่วงอ่อนราวสองฝ่ามือ คอเสื้อล้อมด้วยขนจิ้งจอกสีขาวหิมะวงหนึ่ง เกล้ามวยกึ่งยกสูง ตรึงประดับด้วยปิ่นหยกขาวหงส์ทอง หยกขาวกระทบกันบังเกิดเสียงกริ๊กๆ ข้างหู ยิ่งขับเน้นให้รูปโฉมงดงามพลิ้วไหว บุคลิกไม่สามัญ

เฉิงสื่อเห็นบุตรสาวดูกระชุ่มกระชวยกว่าเมื่อวานมาก ในใจให้ยินดีปรีดา ทว่ากลับไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี จึงทำเพียงนั่งลงบนตั่งพร้อมกับหัวเราะหึๆ ฝ่ายชิงชงประคองเซียวฮูหยินนั่งลงด้านข้าง ส่วนอวี๋ไฉ่หลิงในฐานะบุตรสาวได้แต่ก้มหน้านั่งคุกเข่าบนเบาะเบื้องล่างต่อไป

ไม่เฉพาะแต่เฉิงสื่อที่ไม่รู้จะเริ่มพูดอย่างไรดี ต่อให้เซียวฮูหยินเปี่ยมไหวพริบมากแผนการยามนี้ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรเช่นกัน จึงได้แต่กระแอมเบาๆ ก่อนไถ่ถาม “ลูกแม่ดีขึ้นแล้วหรือไม่”

อวี๋ไฉ่หลิงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนตอบเสียงแผ่ว “ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” เธอไม่ได้เจตนา เพียงแต่ยามอยู่ต่อหน้าบิดามารดาซึ่งได้มาเปล่าๆ คู่นี้แล้วพลันใจฝ่อร้อนตัว เสียงจึงอ่อยลงไปเอง

ไม่เงยหน้ายังพอทำเนา ทันทีที่บุตรสาวเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นนางน้ำตารื้น เฉิงสื่อก็โพล่งถามอย่างร้อนใจ “เหตุใดลูกพ่อจึงหลั่งน้ำตาเล่า”

ขณะคิดจะพูดว่า ‘พ่อกลับมาแล้ว เจ้าลูกเต่าตัวใดยังกล้ารังแกลูกพ่อ คอยดูพ่อจะไปเอาคืนให้’ เขากลับได้ยินเสียงค่อยๆ ของบุตรสาวตอบกลับมาก่อน “เป็นเพราะ…ยาขมเหลือเกินเจ้าค่ะ”

อวี๋ไฉ่หลิงไม่รู้ว่าตอนนี้สภาพของตนน่าสงสารถึงเพียงไหน รูปร่างผอมเล็ก สองไหล่ดั่งถูกเกลาจนแบบบาง ผิวพรรณภายหลังเพิ่งทุเลาจากไข้หนักแลดูขาวจนแทบจะกึ่งโปร่งใส ลำคอเล็กเพรียวประคองศีรษะไว้อย่างยากลำบาก แค่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นยังดูง่อนแง่นราวจะล้มพับลงกับพื้น ยามเอ่ยปากออกมาเสียงก็อ่อนแรงยิ่ง เฉิงสื่อรู้สึกว่าหากเพียงฝ่ามือใหญ่ดุจพัดใบลานของตนคว้าไป บุตรสาวก็จะถูกขยำตายราวลูกนกแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เพียงแต่หัวใจอ่อนยวบ กระทั่งเสียงก็อ่อนนุ่มตามไปด้วย “ถ้าอย่างไรเติมอี๋ถังในยาสักหน่อยดีหรือไม่”

วาจานี้เรียกอาการค้อนขวับจากเซียวฮูหยินไปหนึ่งวง ก่อนแย้งด้วยเสียงอันจริงจัง “ใต้เท้าพูดเหลวไหลแล้ว ยาที่หมอหลวงจัดจะเติมสิ่งอื่นส่งเดชได้หรือ ยาดีย่อมขมปาก ได้แต่กินยาแล้วอมน้ำตาลตามเท่านั้น”

เฉิงสื่อรีบขานรับ “ฮูหยินกล่าวถูกต้องยิ่ง” จากนั้นหันไปเอ่ยกับบุตรสาว “ต้องฟังคำของแม่เจ้านะ รอจนหายป่วยแล้ว พ่อจะพาเจ้าไปขี่ม้า ชมงานโคมไฟหลังวันปีใหม่”

ตั้งแต่นับญาติกับบิดามารดาที่ได้มาเปล่าๆ คู่นี้ ก็มีแต่คำพูดนี้ที่เข้าหูเป็นที่สุด อวี๋ไฉ่หลิงดีใจส่งยิ้มให้เฉิงสื่อ ผิวพรรณที่ขาวซีดอมชมพูขึ้นแบบเด็กน้อย น่ารักดุจตุ๊กตาหยกเลยทีเดียว

ในใจเฉิงสื่อเบิกบานเป็นการใหญ่ รู้สึกว่าบุตรสาวตนเป็นแม่นางน้อยที่มีรูปโฉมงดงามอันดับหนึ่งในใต้หล้าโดยแท้ แม่นางน้อยที่แม่ทัพวั่นให้กำเนิดหนึ่งโขยงนั้นจับมารวมกันเป็นดอกว่านผักบุ้งหนึ่งช่อก็ทาบไม่ติด คราวหน้าร่ำสุรากันจะต้องพูดอวดให้สมใจสักตั้งจึงจะได้ ผิดกับเซียวฮูหยินพอเห็นท่าทางนี้ของอวี๋ไฉ่หลิงกลับยังคงมีสีหน้าซับซ้อน

เฉิงสื่อนึกภาพอันบรรเจิดคนเดียวรู้สึกว่าไม่เพียงพอ ยังหันไปฉีกยิ้มพูดกับภรรยาด้วย “เหนียวเหนี่ยวของพวกเราชวนมองจริงเชียว” จากนั้นเสริมอีกประโยคในทันที “ล้วนเป็นคุณความดีของฮูหยิน”

ชิงชงมองฟ้าอย่างอับจนถ้อยคำ  นางรู้มาตลอดว่าใต้เท้ามีอาการตาฟาง เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคุณหนูหน้าไม่เหมือนบิดามารดาเลย ตามที่นางเห็น รูปโฉมของคุณหนูแม้ไม่เลว ทว่าดูแล้วชวนให้สงสารไม่ค่อยผ่าเผยมั่นใจ ไหนเลยจะเปรียบกับเซียวฮูหยินที่เปี่ยมสง่าราศีได้

เดิมทีมุมมองความงามของคนยุคนี้ก็ชอบสตรีที่สูงแข็งแรงมากกว่า ไม่รู้วันหน้าบำรุงให้เต็มที่แล้วคุณหนูจะสูงขึ้นอวบอิ่มขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่ วัยสาวฮูหยินผู้เฒ่าเซียวอ่อนแอก็จริงอยู่ ทว่ารูปร่างไม่มีอันใดด้อยเลย…ขณะที่ชิงชงกำลังคิด บังเอิญเบนสายตาไปเห็นเด็กสาวตัวน้อยกำลังมองพิจารณาเฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินอย่างสนอกสนใจ ดวงตาคู่โตที่มีสีดำตัดขาวชัดเจนนั้นเปี่ยมพลังมีชีวิตชีวา เฉียบแหลมทว่าแก่นพยศประหนึ่งลูกสัตว์แรกเกิดในผืนป่า นี่ทำให้ชิงชงตะลึงค้างไปทันที

ขณะนี้อวี๋ไฉ่หลิงกำลังมองพิจารณาผู้อื่น หากมองในระดับสายตาจากตำแหน่งที่ตนนั่งคุกเข่าอยู่จะเป็นช่วงใต้หน้าอกของเซียวฮูหยินพอดิบพอดี เด็กสาวแอบยิ้มร่าอยู่ในใจ…ตามที่อาจู้เล่า หากนับรวมลูกที่เสียไปแต่เล็ก เซียวฮูหยินผู้นี้เคยให้กำเนิดบุตรมาเจ็ดแปดคนแล้ว ทว่ารูปร่างยังคงเผ็ดร้อนถึงเพียงนี้ หน้าหลังโค้งเว้าได้สัดส่วน ท่านพ่อเฉิงช่างมีวาสนาจริงเชียว

เซียวฮูหยินไม่รู้ว่าคนสนิทกับบุตรสาวต่างกำลังคิดเลอะเทอะอันใดบ้าง เพราะนางกำลังปั้นหน้าดุสามีอยู่ “ใต้เท้าอย่าได้ออกไปพูดจาส่งเดช คุยโวทั้งวี่วันว่าบุตรสาวโฉมงาม นั่นจะมีประโยชน์อันใด มีคุณธรรมความรู้มากหน่อยต่างหากจึงเป็นสิ่งสำคัญ” ผู้รู้จักสามีไม่มีใครเกินภรรยา นางมองทะลุในปราดเดียวว่าสามีคิดจะทำอันใด เฉิงสื่อจึงหน้าเจื่อนลงอย่างช่วยไม่ได้

เซียวฮูหยินเห็นท่าทางนี้ของเขา พาให้นึกถึงว่าตั้งแต่บุตรสาวถือกำเนิด สามีดีใจมากเพียงใด แต่ด้วยมารดากับภรรยายืนกราน ทำให้เขาจำต้องพรากจากบุตรสาวนานนับสิบปี ยามนี้กำลังปลื้มปริ่มจนไม่รู้จะว่าอย่างไรดีแล้ว เซียวฮูหยินจึงให้ใจอ่อน ถอนหายใจก่อนเอ่ยเสียงนุ่มนวล “ทุกคนล้วนมีดวงตา รอจนพวกลูกๆ กลับมาพร้อมขบวนรถของครอบครัวแม่ทัพวั่น พวกเราก็พาเหนียวเหนี่ยวไปชมสวนร่วมงานเลี้ยงที่ข้างนอกกัน ใครเล่ายังจะมองไม่เห็น ต่อให้พวกเราไม่พูด ผู้อื่นก็รู้ได้”

คนในครอบครัวกำลังสนทนาสัพเพเหระ ทว่ายังไม่ทันรอจนอวี๋ไฉ่หลิงมีโอกาสพูด กลับได้ยินเสียงร้องที่ทั้งแหลมทั้งห้าวของหญิงชราดังมาแต่ไกลก่อน เสียงช่วงต้นเจืออารมณ์ชอกช้ำตามด้วยโศกรันทดนิดๆ น้ำเสียงหลักคือเป็นเดือดเป็นแค้น โดยเฉพาะหางเสียง ‘อ๊าก…’ ในตอนท้ายสุดนั้นลากยาวต่อเนื่องถึงชั่วระยะเวลาหนึ่งโดยไม่ขาดห้วงเลย

อวี๋ไฉ่หลิงบังเกิดความเลื่อมใสอันแปลกพิสดารขึ้นในใจ นอกจากสามารถทอดเสียงร้องอันยาวนานก้องกังวานแล้ว ยังบรรจุอารมณ์ความรู้สึกเข้าไปได้ในเวลาเดียวกัน เสียงดีนี้ระดับเดียวกับนักแสดงงิ้ว จากนั้นเด็กสาวก็ฉุกคิดว่าต่อให้เสียงร้องก้องกังวานสักเพียงไหน หากสามารถถ่ายทอดมาแจ่มชัดถึงขั้นนี้ เห็นทีว่าจวนสกุลเฉิงคงจะไม่ใหญ่โต ที่แท้ท่านพ่อเฉิงผู้นี้การงานเป็นอย่างไรกันแน่นะ

คิดเรื่องเหลวไหลเหล่านี้จบ เห็นสีหน้าของชิงชงที่อยู่ด้านข้างไม่มีสั่นไหวสักนิดเดียว ส่วนเฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินที่อยู่เบื้องบนก็สบตากันและกันอย่างรู้ใจ อวี๋ไฉ่หลิงจึงค่อยตระหนักได้ว่า…ละครเด็ดกำลังจะเปิดฉากแล้ว

ไม่ช้าเสียงร้องของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็เปลี่ยนเป็นเสียงตะโกนเรียกหนแล้วหนเล่า “สื่อเอ๋อร์ลูกแม่!…ลูกแม่…” เสียงเคลื่อนที่จากระยะไกลเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว อวี๋ไฉ่หลิงยิ่งรู้สึกได้ว่าจวนหลังนี้ไม่ค่อยใหญ่โตนัก

สองสามีภรรยาส่งสายตาให้กันเสร็จ เฉิงสื่อก็กระแอมให้โล่งคอ ยืนขึ้นตั้งท่าจะไปต้อนรับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ทว่าเซียวฮูหยินกลับช่วยสามีจัดเครื่องแต่งกายอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทั้งไม่ลืมที่จะกำชับอวี๋ไฉ่หลิงหนึ่งประโยค “อย่ามัวนิ่งอยู่ รีบดื่มยาลงไปเสีย”

ขณะที่สองสามีภรรยากำลังจะออกไป กลับประเมินการเคลื่อนไหวของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงต่ำไปเสียแล้ว ชิงชงที่เดินนำอยู่ข้างหน้ายังไม่ทันจะเลิกม่านประตูขึ้นก็ถูกพลังมหาศาลปะทะกลับมา เห็นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพุ่งชนเข้ามาราวหมูป่าที่ต้องเกาทัณฑ์ หวิดจะกระชากม่านประตูลงมาด้วย

ครานี้ด้านหลังของนางไม่ได้จัดขบวนหญิงรับใช้เป็นพรวนยาวเช่นเดิมแล้ว พามาเพียงเก่อซื่อกับสตรีอีกสองคนที่อวี๋ไฉ่หลิงไม่รู้จัก คนที่อยู่ข้างหน้าอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ระดับความหยาบกร้านของรูปโฉมก็สูสีกัน ซ้ำน้ำมูกกับน้ำตายังคลุกเคล้าไปทั่ว ผิดกับอีกคนที่หน้าตาสะสวยหลักแหลม ดูอายุราวสามสิบกว่าปี เพียงแต่ทาแป้งหนาไปสักหน่อย กำลังร่ำไห้อยู่เช่นกัน

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีสภาพทุลักทุเลยิ่งยวด ชุดงามวิจิตรถูกดึงสาบเสื้อจนหย่อนคลาย ปิ่นทองคำที่ใหญ่โตราวไม้เขี่ยฟืนก็ไม่ได้เสียบมา ต่างหูทองคำขนาดมหึมาปานวงล้อไฟของนาจาก็คงเหลือเพียงข้างเดียว น้ำตาผสมน้ำมูกเปรอะใบหน้า ขณะที่ปากยังขยับไม่หยุด “เจ้าต้องช่วยน้าชายของเจ้านะ…นี่ถึงชีวิตคนเชียวนะ!”

ทันทีที่เห็นเฉิงสื่อ นางก็โถมตรงไปคร่ำครวญราวว่าจะขาดใจ คนทั้งหมดได้แต่เบิกตามองกำปั้นสองข้างที่ใหญ่ดุจไหสุราทุบลงบนหน้าอกที่อิ่มหนาของนางเอง บังเกิดเสียงทุ้มหนักชวนพรั่นพรึง ขณะเดียวกันนางก็ไม่ลืมเจียดมือมาทุบบุตรชายเสียงทึบดังตุบๆ ต่อให้เฉิงสื่อรูปกายกำยำก็ยังถูกทุบจนซวนเซไปหลายก้าว

เซียวฮูหยินเห็นแล้วมุมปากเต้นกระตุกไม่หาย ในใจคิดว่า น่าเสียดายที่แม่สามีมาเกิดพลาด หากเกิดเป็นบุรุษจะต้องเป็นแม่ทัพที่ห้าวหาญผู้หนึ่งแน่ นางคิดพลางถอยห่างอย่างระมัดระวัง เผื่อมีกำปั้นหลงมาทำร้ายถูกผู้บริสุทธิ์ ใครจะรู้พอหันหน้ามา กลับเห็นบุตรสาวขยับหลบเข้ามุมด้วยท่วงท่าที่เหมือนกับตนไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งยังหันไปพูดบางอย่างกับอาจู้ ท่ามกลางความชุลมุนเพียงได้ยินไม่กี่คำว่า “ท่านย่าควรไปเป็นแม่ทัพ…” ถ้อยคำยังกล่าวไม่จบ บุตรสาวก็ถูกอาจู้ดึงไปหลบที่ด้านหลังแล้ว

เซียวฮูหยินตะลึงงัน

อาจู้เห็นสถานการณ์วุ่นวาย เดิมคิดจะดึงตัวอวี๋ไฉ่หลิงออกจากห้อง ทว่าตอนนี้อวี๋ไฉ่หลิงกำลังคึกคักตื่นเต้นสุดขีดจะยอมไปได้อย่างไรเล่า

อาจู้ดึงแล้วไม่ขยับ เห็นเด็กสาวขดซุกเข้ามุมพลางประคองชามยาไว้แน่น ร่างเล็กๆ ยังสั่นสะท้านนิดๆ ด้วย อาจู้จึงเข้าใจไปว่าเด็กสาวตกใจจนตัวสั่น ทั้งคิดว่าตอนนี้นางใกล้จะหายป่วยแล้วไม่ควรออกไปตากลม นายหญิงเองก็ไม่ได้สั่ง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ขายหน้าคือฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง อาจู้จึงไม่เจ็บไม่คันแต่อย่างใด

ขณะที่อาจู้กำลังเปลี่ยนความคิดอยู่นั้น อวี๋ไฉ่หลิงก็ฟังเบาะแสจากเสียงคร่ำครวญของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงออกแล้ว จึงนำมาปะติดปะต่อกับอดีตบางช่วงที่อาจู้เล่าตั้งแต่ครู่ก่อน จนไล่เลียงต้นสายปลายเหตุได้กระจ่างในที่สุด

ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสกุลเดิมแซ่ต่ง เมื่อครั้งที่บ้านเมืองระส่ำระสายหนัก คนสกุลต่งที่หนีก็หนี ที่ตายก็ตาย มีเพียงครอบครัวน้องชายคนเล็กของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่ทนทายาดจนกระทั่งเฉิงสื่อรุ่งเรืองขึ้นมา สกุลต่งจึงใช้ชีวิตโดยพึ่งพาสกุลเฉิงมานับแต่นั้น

น่าเสียดายร่องนิ้วมือของเซียวฮูหยินชิดสนิทยิ่ง เงินทองที่ตกถึงมือฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจึงไม่มากมาย ซ้ำยังรั่วไหลไปให้สกุลต่งอีก ดังคำกล่าวว่ามอบปลาให้มิสู้สอนวิธีจับปลา เพื่อให้สกุลต่งพลอยได้หน้าได้ตามากๆ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ‘ผู้ชาญฉลาด’ จึงสั่งให้เฉิงสื่อหาหน้าที่การงานแก่น้าชายสกุลต่ง น่าเสียดายน้าต่งทั้งอ่านหนังสือไม่ออก ค้าขายไม่เป็น ซ้ำยังรังเกียจว่าทำไร่นาเหนื่อยยากได้ดอกผลช้า จึงล้มไม่เป็นท่าอยู่ข้างนอกครั้งแล้วครั้งเล่า

สุดท้ายเมื่อสองสามปีก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงได้ยินว่าการศึกแนวหน้าเริ่มผ่อนคลายลงตามลำดับ จึงบังคับให้เฉิงสื่อหาตำแหน่งในกองทัพให้กับน้าต่ง คิดว่ามีหลานชายคอยดูแลอยู่ คงจะไม่ถูกผู้อื่นข่มเหงอีก ประกอบกับเซียวฮูหยินก็ไม่มีข้ออ้างจะบอกปัดแล้ว

จริงดังที่คิดไว้ สองปีมานี้น้าต่งหาเงินได้มาก ยืดเอวยืดหลังตรงได้เสียที ยังสามารถส่งข่าวถึงพี่สาวเป็นระยะว่าเฉิงสื่อสองสามีภรรยาจับเชลยยึดสิ่งของได้รับบำเหน็จรางวัลเท่าใด ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงนับวันยิ่งกระหยิ่มได้ใจ เอะอะก็เรียกร้องเงินทองที่นาจากบุตรชาย พี่สาวกับน้องชายคู่นี้ไม่รู้ใช้ชีวิตสุขสบายมากเพียงไหน

เดิมทีช่วงไม่กี่วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกำลังรอน้องชายกลับมารายงานความเจริญก้าวหน้าล่าสุดของบุตรชายนาง ใครจะรู้ยังไม่ทันรอคนกลับมา กลับรอได้ข่าวร้ายเรื่องหนึ่ง ที่แท้น้าต่งยักยอกยุทโธปกรณ์กับเสบียงกองทัพไปขายข้างนอก บัดนี้เรื่องแดงออกมาจึงถูกฟ้องคดีแล้ว

ข้อหาเยี่ยงนี้ต่อให้ลดโทษก็ต้องถูกริบทรัพย์ คนในบ้านตกเป็นทาสหลวงไม่พอ ตัวการยังต้องถูกประหารกลางตลาดด้วยการบั่นเอว

ทันทีที่ได้ยินข่าว น้าสะใภ้ต่งก็พาลูกสะใภ้มาร้องขอความช่วยเหลือ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงฟังแล้วหวิดจะลมจับ ด้วยเหตุนี้ ‘โนบิตะ’ ฉบับหญิงชราจึงปรี่มาหา ‘โดเรม่อน’ ที่แต่งภรรยาแล้วและไม่ค่อยจะอยู่ในโอวาทนัก

เฉิงสื่อทุ่มพละกำลังซึ่งเหี้ยมหาญเป็นที่หนึ่งในกองทัพมาปัดฝ่ามือใหญ่ของมารดาออกไป ก่อนเหลียวมองภรรยาแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว เห็นแววตาของเซียวฮูหยินวูบไหวนิดๆ การเคลื่อนไหวเพียงชั่วขณะเดียวนี้ถึงกับถูกอวี๋ไฉ่หลิงเห็นเข้าอย่างจัง เด็กสาวคิดในใจว่า ฉากสำคัญมาถึงแล้ว

เฉิงสื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ สะบัดแขนเสื้อที่ยับย่น ค้อมกายคำนับมารดาแล้วทรุดเข่าลงไปตรงๆ นัยน์ตาพยัคฆ์มีหยดน้ำขังคลอ อวี๋ไฉ่หลิงชมดูฝีมือการแสดงนี้พลางอุทานในใจว่า ยอดเยี่ยม จากนั้นเฉิงสื่อก็ถอนหายใจยาวด้วยความทุกข์ตรม “ท่านแม่! เรื่องนี้เมื่อเช้าข้าได้ยินบ่าวรายงานแล้ว เดิมคิดจะแจ้งท่านแม่ แต่…แต่ไม่รู้จะเริ่มพูดเช่นไรดีจริงๆ…”

ชิงชงมองฟ้าอย่างอับจนถ้อยคำอีกครา นางรู้ว่าใต้เท้าสามารถแสร้งเขลาได้ราวกับเขลาจริง เห็นกันอยู่ว่าเร่งมาเยี่ยมบุตรสาวแต่เช้าตรู่ ทว่ายังคงประเมินความไวในการเคลื่อนไหวของน้าสะใภ้ต่งกับลูกสะใภ้ต่ำไปจึงได้ถูกสกัดอยู่ที่นี่ ท่านจะพูดปดก็พูดให้รัดกุมหน่อยได้หรือไม่ ช่างเสียแรงที่นายหญิงสอนอย่างเหนื่อยยากทั้งคืน

เก่อซื่อที่มาประคองฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสบช่องจึงเอ่ยแทรกเสียงหวานเยิ้ม “ถึงอย่างไรก็เป็นน้าชาย พี่ใหญ่ลำบากใจเช่นไรก็ต้องช่วยเหลือนะเจ้าคะ!” นางพูดพลางพิศมองเฉิงสื่อผู้สูงใหญ่ผึ่งผาย

อวี๋ไฉ่หลิงรู้สึกคลื่นเหียนไม่หาย คิดในใจว่า…อีกรายแล้วที่ขาดคันฉ่องดีๆ สักบาน ไม่ว่าจะรูปร่างเครื่องหน้า บุคลิก หรือความรู้ของเจ้า ล้วนห่างชั้นจากมาดามเซียวอย่างน้อยก็สิบแปดพานจินเหลียน* เจ้ารู้ตัวสักทีเถอะ

เซียวฮูหยินเดินปราดขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว แล้วเอ่ยกับเก่อซื่อด้วยเสียงอันเยียบเย็นชวนสะพรึง “ผู้ที่ใต้เท้าคุกเข่าคำนับคือท่านแม่ น้องสะใภ้ยังไม่หลีกไปอีก ต้องการจะรับการคุกเข่าคำนับนี้ด้วยหรือไร”

ไม่รอให้เก่อซื่อพูดจา ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็พลิกมือตบฉาดแล้วก่นด่าเก่อซื่อด้วยโทสะ “เจ้ายังไม่ไสหัวไปอีก! แล่นมาที่นี่เพื่อจะดูเรื่องขบขันในสกุลเดิมของข้าหรือ!” เรื่องฉาวโฉ่ของสกุลเดิมนางไม่อยากจะให้คนล่วงรู้มากนัก ทว่าพอได้ยินข่าวเก่อซื่อกลับกระวีกระวาดติดตามมาทันที ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีหรือจะไม่รู้ไส้รู้พุงของเก่อซื่อ เพียงแต่เมื่อแรกคร้านจะไยดีเท่านั้น

ฝ่ามือนี้ตบมาทั้งดังทั้งหนักหน่วง บนแก้มของเก่อซื่อปรากฏรอยบวมแดงปื้นใหญ่ทันตา นางอับอายระคนคับแค้นยากทานทน จึงป้องหน้าวิ่งร่ำไห้ออกจากประตูไปโดยไม่มองผู้อื่น

 

* พานจินเหลียน ว่ากันว่าตัวจริงเป็นบุตรีขุนนางที่มีรูปโฉมงดงามฉลาดเฉลียว สนับสนุนอู่จื๋อ (หรืออู่ต้าหลาง) สามีซึ่งเดิมมีฐานะยากไร้จนกระทั่งผ่านการสอบขุนนางได้เป็นนายอำเภอ สองสามีภรรยาครองรักกันจนแก่เฒ่า ตรงข้ามกับพานจินเหลียนหญิงนอกใจสามีที่ถูกเขียนเป็นตัวละครในเรื่องซ้องกั๋งและเรื่องบุปผาในกุณฑีทอง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 .. 65  เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: