วาทศิลป์ของเหลียนฝางต่างจากอาจู้ราวฟ้ากับดิน น้ำเสียงและอารมณ์ยามถ่ายทอดเรื่องที่ได้ยินมาล้วนน่าประทับใจ เช่นนี้เองเฉิงเซ่าซางค่อยรู้สึกว่าวันเวลามีรสชาติขึ้นบ้าง
ที่แท้วันนั้นหลังจากแม่ลูกสกุลเฉิงแยกย้ายกันไปอย่างไม่รื่นรมย์ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็พูดปนสบถว่าตนจะควักเงินไปวิ่งเต้นให้น้าต่งเอง น่าเสียดาย หีบเงินว่างลงไปครึ่งหนึ่งแล้วก็ยังคงไม่เห็นผลที่คาดหวัง ตรงข้ามกลับเห็นน้าต่งถูกคุมตัวมาถึงเมืองหลวงในรถนักโทษ พี่สาวกับน้องชายคู่นี้กอดคอกันร้องไห้ดังระงม ตามคำพูดของหญิงรับใช้อาวุโสที่ติดตามไปด้วย บอกว่าน้าต่งซูบเซียวอเนจอนาถยิ่งยวด
ภายหลังฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงไปอาละวาดกับบุตรชายอีกหลายรอบทว่ายังคงป่วยการเปล่า จึงงัดกระบวนท่า ‘อดอาหาร’ ซึ่งเป็นไม้ตายสุดท้ายออกมา เล่ากันว่าไทเฮาหลายพระองค์ในราชวงศ์ก่อนก็มักใช้กระบวนท่านี้จัดการฮ่องเต้ผู้เป็นบุตร น่าเสียดายในอดีตที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงผ่านช่วงชีวิตอันทุกข์ยากนั้นหิวโซจนเข็ดขยาดแต่แรกแล้ว หลายปีมานี้ไม่มีเนื้อสัตว์ล้วนไม่สุขใจ ดังนั้นเพิ่งจะทนหิวได้สองมื้อก็ทานทนไม่ไหว จากคำบอกเล่าของหญิงรับใช้อาวุโสในห้องครัว มื้อแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกลับมากินอาหารดังเดิม ถึงกับกินไก่รมควันไปหนึ่งตัว ห่านย่างครึ่งตัว ขาหมูตุ๋นน้ำปรุงรสสองขา กับข้าวสาลีหุงสุกสามชามใหญ่ เพื่อช่วยย่อยอาหารยังตามหมอมาจัดยาด้วยหนึ่งเทียบ
ขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงออกฤทธิ์ออกเดชอยู่ทางนี้ สถานการณ์ทางด้านสกุลต่งกลับย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม ต่งหย่งบุตรชายของน้าต่งก็ถูกจับกุมเช่นกัน ร้านค้ากับไร่นาที่อยู่นอกเมืองของสกุลต่งล้วนถูกยึดตรวจสอบ ต่งหลี่ว์ซื่อภรรยาของต่งหย่งแสดงออกดีเยี่ยม เพื่อแสดงว่าจะไม่ปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงต่อสู้เพียงลำพัง นางจึงขายอนุกับสาวใช้ยี่สิบกว่าคนในเรือนของสามีทิ้งรวดเดียว รวบรวมได้เงินก้อนโตมาให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงใช้หมุนเวียน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพลันรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเป็นหลานสะใภ้แสนดีที่สั่งสมกุศลร้อยชาติจึงจะได้มา
ข่าวล่าสุดคือพักนี้น้าสะใภ้ต่งล้วนมาร่ำไห้หนึ่งยกทุกวัน วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงกินอาหารแล้วดื่มสุราไปสองจอก สุราทำให้คนเราขวัญกล้าขึ้น นางถึงกับฉวยมีดเล็กสำหรับตัดผ้าไปขู่บังคับบุตรชายอีกหน บอกว่าหากบุตรชายไม่ยอมช่วยเหลือ นางจะตายให้เขาดู จากนั้นค่อยฟ้องร้องเขาฐานเนรคุณ…เฉิงเซ่าซางรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าลำดับขั้นตอนนี้มีปัญหา
เฉิงสื่อสุดจะทนรับการรังควานเช่นนี้แล้วจึงหลุดปากออกไปว่า “มิใช่ไม่มีหนทางช่วยท่านน้า ก็คือข้าไปแบกความผิดนี้เอง บอกว่าท่านน้ายักยอกเพราะทำตามคำสั่งของข้า จากนั้นข้าไปรับโทษประหารตัดศีรษะ แลกตัวท่านน้าคืนกลับมา บ้านเราถูกริบทรัพย์แทนสกุลต่ง ท่านแม่เห็นว่าอย่างไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเป็นใบ้ไปทันที แม้นางจะรักน้องชาย แต่ก็ไม่เคยคิดจะเอาบุตรชายไปแลกกับน้องชายเด็ดขาด ใครจะรู้น้องสะใภ้ที่อยู่อีกด้านกลับได้รับแรงบันดาลใจ โพล่งออกจากปากว่า “หลานชายเป็นขุนนางใหญ่ ต่อให้กระทำความผิดก็จะไม่เป็นอันใดหรอก อย่างมากปรับเงินก็จบเรื่อง มิสู้ให้หลานชายไปยอมรับความผิดนี้?!” พอวาจานี้พูดออกมา แม่ลูกสกุลเฉิงล้วนโกรธจนสีหน้าเผือดขาว
ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องคิดว่ายังดีที่สกุลต่งไร้สามารถ กระทั่งคุกยังไม่อาจเข้าไปเยี่ยมน้าต่งได้ ไม่เช่นนั้นหากสมคบนัดแนะกัน น่ากลัวว่าน้าต่งอาจจะให้ร้ายสกุลเฉิงขึ้นมาจริงๆ
เฉิงสื่อระเบิดโทสะออกมาทันตา ตะโกนใส่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงที่ยืนอยู่กลางโถงโดยไม่สนว่ามีใครอื่นได้ยินหรือไม่ “ได้! อันคุณธรรมทั้งปวงนับความกตัญญูเป็นอันดับแรก ขอเพียงท่านแม่สั่งมาคำเดียว ข้าจะไปมอบตัวรับผิดแทนท่านน้าที่คุกเป่ยจวิน* เดี๋ยวนี้เลย! ต่อไปท่านแม่ก็ใช้ชีวิตอยู่กับน้องรองและน้องสามแล้วกัน!”
วาจานี้ผู้คนไม่น้อยทั้งในและนอกโถงล้วนได้ยิน หญิงรับใช้อาวุโสกับพ่อบ้านต่างพูดกันว่าฮูหยินผู้เฒ่าของพวกตนเสียสติไปแล้ว มีเพียงเซียวฮูหยินที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องคลี่ยิ้มน้อยๆ ดังคำกล่าวว่ายามด่าทอไร้วาจาที่ชวนฟัง เมื่อใดที่เริ่มมีปากเสียงกัน สายสัมพันธ์ไม่ว่าดีสักเพียงใดก็ต้องถูกบั่นทอน
ตอนนั้นเองฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงค่อยตกใจจนสร่างเมา ตบหน้าน้าสะใภ้ต่งเต็มแรงเสียงดังกังวาน แล้วกลับไปสลดอยู่ในห้องของตนเองไม่ออกมาอีก ต่อให้ถัดจากนั้นจะได้ยินเฉิงสื่อกำชับบ่าวในจวนว่าห้ามน้าสะใภ้ต่งเหยียบเข้าจวนสกุลเฉิงอีกแม้ครึ่งก้าว ผู้ใดปล่อยคนเข้ามาจะฟาดขาคนผู้นั้นให้หัก ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ไม่กล้าสอดปาก เรื่องราวชะงักงันเพียงเท่านี้ จวบจนวันที่สามต่งหลี่ว์ซื่อมาขอขมาถึงที่จวน
* คุกเป่ยจวิน คือสถานที่คุมขังทหารต้องโทษหรือขุนนางที่ล่วงเกินเบื้องสูง ตั้งอยู่ภายในที่ทำการของหน่วยทหารรักษาเมืองหลวงที่เรียกว่าเป่ยจวิน (ทัพอุดร)