ตามคำพูดของชิงชงฮูหยินซึ่งได้เหลียนฝางนำมาเล่าให้ฟังนั้น สกุลต่งคนพ่อรักในทรัพย์ คนลูกรักในราคะ คนแม่เป็นพวกเลอะเลือน ลูกสะใภ้ต่งหลี่ว์ซื่อเป็นคนเดียวในสกุลต่งที่เข้าใจเหตุผล เพียงแต่ความเข้าใจนี้ก็ต้องใช้ความทุกข์ยากมากมายแลกมา
เดิมทีต่งกับหลี่ว์สองสกุลล้วนเป็นครอบครัวชาวนาที่มีฐานะดี บิดาของสองสกุลหมั้นหมายรุ่นหลานกันไว้แต่แรก ไม่คาดนายท่านผู้เฒ่าต่งกลับด่วนจากไป ประกอบกับใต้หล้าโกลาหลหนัก ทำให้ทรัพย์สินในสกุลต่งร่อยหรอลงทุกวัน ต่างจากสกุลหลี่ว์ที่ยังประคับประคองตัวได้ เพื่อรักษาสัจจะนายท่านผู้เฒ่าหลี่ว์ยังคงให้หลานสาวคนเล็กแต่งเข้าสกุลต่งที่แม้แต่ข้าวก็ยังกินไม่อิ่ม ช่วงปีแรกๆ น้าต่งกับน้าสะใภ้ต่งยังนับว่าปฏิบัติกับลูกสะใภ้คนนี้ไม่เลว ใครจะคิดว่าสหายเฉิงเก่งกาจเกินคาด เพียงไม่กี่ปีก็สร้างตัวได้แล้ว ครั้นเห็นสะใภ้ที่แต่งกับสามพี่น้องสกุลเฉิงหากมิใช่ร่ำรวยก็คือมีฐานะสูง สองสามีภรรยาสกุลต่งจึงพลันรู้สึกว่าลูกสะใภ้ของตนขัดนัยน์ตา หากมิใช่ต่งหลี่ว์ซื่อให้กำเนิดบุตรชายหญิงแล้วจำนวนหนึ่ง ทั้งยังเอาใจเก่ง เกรงว่าคงถูกหย่าทิ้งไปแต่แรก
ไม่รู้ว่าต่งหลี่ว์ซื่อพูดคุยอันใดกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตั้งแต่ฟ้าเพิ่งสว่างจนถึงเที่ยงวัน ส่งผลให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงคลายโทสะจนสิ้น ตกเย็นถึงกับแสดงท่าทียอมอ่อนข้อ สั่งตะกุกตะกักให้คนไปตามเฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินมา
ยามที่ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงเรียกพบ เฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินเพิ่งเรียกเฉิงเซ่าซางมากินอาหารร่วมกันและถือโอกาสกระชับความสัมพันธ์พ่อแม่ลูก ครั้นเห็นท่าทางกระสับกระส่ายของสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่ข้างประตู ชิงชงฮูหยินก็คลี่ยิ้มกล่าว “เร็วกว่าที่นายหญิงคาดการณ์เสียอีก ดูท่าต่งหลี่ว์ซื่อผู้นี้จะมีคารมเป็นเลิศ”
เซียวฮูหยินแย้มยิ้มไม่เอ่ยวาจา ลุกขึ้นเตรียมจะออกไป ก่อนออกจากประตูเฉิงสื่อยังไม่ลืมกำชับบุตรสาว “เหนียวเหนี่ยวกินข้าวไปเองก่อนเลยนะ กินเนื้อสัตว์ให้มากๆ หน่อย!”
อิริยาบถลุกขึ้นยกแขนของเฉิงเซ่าซางชะงักไปเล็กน้อยก่อนขานรับ “เจ้าค่ะ น้อมส่งท่านพ่อท่านแม่ ท่านพ่อท่านแม่กลับมาเร็วๆ นะเจ้าคะ”
เสียงของเด็กสาวนิ่มนุ่มราวคลึงก้อนแป้ง ในใจเฉิงสื่อให้เบิกบานยิ่ง เขายิ้มแฉ่งจนดวงตายิบหยี ผงกศีรษะแล้วเดินออกไป
เฉิงเซ่าซางนั่งคุกเข่าต่อ ก้มหน้ากินอาหารด้วยอารมณ์ขุ่นมัว อาจู้ที่อยู่อีกด้านแปลกใจอยู่บ้าง ชิงชงฮูหยินเห็นเช่นนี้ก็ชี้แจงพร้อมรอยยิ้ม “คุณหนูอย่าขุ่นเคืองไปเลย วันหน้านายหญิงกับใต้เท้าจะมากินอาหารเป็นเพื่อนท่านบ่อยๆ แน่ เพียงแต่วันนี้มีธุระจริงๆ”
เฉิงเซ่าซางขานตอบเสียงเบา
น่าเสียดาย แม้แต่ชิงชงฮูหยินผู้ละเอียดอ่อนหลักแหลมก็ทายผิดแล้ว เฉิงเซ่าซางมิได้คิดเรื่องนี้…นางเพียงแต่ไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกว่า ‘เหนียวเหนี่ยว’ เพราะเดิมนางในชาติก่อนมีชื่อเล่นว่า ‘หลิงนัน’ แม้ว่าผู้ที่เรียกชื่อนี้จะล่วงลับไปแล้วก็ตามที
ทุกครั้งที่เดินเข้าห้องพักของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง เซียวฮูหยินจะรู้สึกดวงตาพร่าลายเสมอ มารดาสามีตั้งข้อเรียกร้องกับห้องพักง่ายยิ่ง นั่นคือหรูหรา หรูหรา แล้วก็หรูหรา ตั้งแต่พื้นกระดานไปจนถึงโต๊ะเตียงและที่นั่ง ขอเพียงเป็นจุดที่สามารถประดับทองคำได้ ล้วนแต่ถูกประดับด้วยไหมทองแพรทองทั้งสิ้น
แรกเริ่มฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยังพูดจาในอาการขัดเขินอยู่บ้าง ต่อมาเมื่อหีบคำพูดเปิดออกแล้ว จึงยิ่งพูดยิ่งคล่อง นางจับจูงมือเฉิงสื่อ เอ่ยพร้อมน้ำหูน้ำตาไหล “ภรรยาน้องต่งของเจ้าพูดได้ดี ยามแก่ตัวแล้วจะพึ่งพาผู้ใดได้ มิใช่ต้องพึ่งพาบุตรชายหรอกหรือ หลายปีมานี้เจ้าตะลุยกองเพลิงกองโลหิตเพื่อสร้างคุณความชอบ แม่ถึงสามารถกินเนื้อดื่มสุรามีความเป็นอยู่ที่ดี แล้วแม่จะไปเห็นความเป็นความตายของเจ้าสำคัญกว่าผู้อื่นได้อย่างไร…”
เฉิงสื่อกับเซียวฮูหยินเพียงสบตากัน ต่างก็ไม่เอ่ยวาจา