ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 7
เฉิงสื่อขึงตาใส่มารดาพลางเอ่ย “ยังดีหยวนอีมีไหวพริบระวังป้องกันมาโดยตลอด นางบอกลูกว่า ‘บุกตะลุยแนวหน้านั้นง่าย ขุนนางดีเลือกนายนั้นยาก จะบุ่มบ่ามฝากฝังครอบครัวกับคนพวกนั้นไม่ได้เด็ดขาด’ ด้วยเหตุนี้ลูกจึงให้พวกท่านแม่ซ่อนตัวอยู่ที่บ้านเกิดเรื่อยมา หากเกิดเหตุไม่เข้าที ลูกกับหยวนอีก็จะสามารถนำทหารม้าเกราะเบาปลีกตัวหนีมาได้ทันที ความจริงเป็นเช่นนี้ แต่ท่านแม่กลับตัดพ้อลูกทั้งวี่วัน หาว่าพาหยวนอีไปเสพสุขอยู่ข้างกายคนเดียว ปล่อยให้พ่อแม่พี่น้องลำบากอยู่ชนบท! ต่อมาผูกมิตรกับแม่ทัพวั่น ลูกก็ลงแส้เร่งม้ารับพวกท่านแม่มาจากชนบทแล้วมิใช่หรือไร!”
ในที่สุดผิวหน้าหนาของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็ผุดสีแดงเรื่อด้วยความละอาย เอ่ยอย่างวางหน้าไม่สนิท “มิน่าเล่า ไฉนนานปีที่ผ่านมาสื่อเอ๋อร์จึงจัดให้พวกเราทั้งครอบครัวพักอยู่ติดกับสกุลวั่นเสมอ”
“หยวนอีมีสายตาแหลมคม ก่อนหน้านี้บรรดา ‘แม่ทัพใหญ่กำราบโจร’ อันใดนั่น นางมองพิจารณาไม่กี่วันก็บอกว่าใช้ไม่ได้ มิใช่ตามองสูงแต่หัวกลวงโหวงไร้ฝีมือ ก็คือใจดำอำมหิตไม่เห็นว่าผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นคน มีเพียงแม่ทัพวั่น แม้ความสามารถอาจมิใช่ที่หนึ่งในใต้หล้า ทว่าผ่าเผยมีคุณธรรม โอบอ้อมใจกว้าง ลูกสนับสนุนเขาเต็มที่ ผนวกขุมกำลังสองกลุ่มเข้าด้วยกัน ย่อมจะเบิกทางรอดหนึ่งสายในกลียุคนี้ได้ หากมิใช่เป็นเช่นนี้ มีหรือจะสามารถคอยจนถึงวันที่ได้เข้าร่วมถวายความภักดีต่อฝ่าบาท”
เอ่ยถึงความดีของภรรยา เฉิงสื่อก็ยิ่งฮึกเหิมมีเหตุผลเต็มเปี่ยม “สกุลวั่นเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลเป็นอันดับหนึ่งในอำเภอสุย ไม่นับบริวารของแม่ทัพวั่น ลำพังฮูหยินผู้เฒ่าวั่นเองก็มีองครักษ์ผู้คุ้มกันถึงหนึ่งร้อยกว่าคน โจรทั่วไปไม่มีปัญญาประชิดตัว เพียงพอจะอารักขาสตรีในบ้านแล้ว หยวนอีโน้มน้าวลูก บอกว่าในเมื่อร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับแม่ทัพวั่นแล้ว ก็มิสู้ฝากฝังครอบครัวกับเขา ทั้งได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย ยังเป็นการแสดงความจริงใจของฝ่ายเรา ดีพร้อมทั้งสองทาง”
พูดมาถึงตรงนี้ เฉิงสื่อเว้นช่วงเล็กน้อย เพ่งมองมารดาแน่วนิ่ง “สกุลเฉิงมีวันนี้ได้ หยวนอีมีผลงานใหญ่หลวง ในกระโจมทัพวันนั้นลูกได้ลั่นคำสาบานร้ายแรงเอาไว้ หากชาตินี้ผิดต่อหยวนอี ขอให้ไม่ตายดี!”
เขารู้สึกว่าตนเองแสดงท่าทีชัดเจนแล้ว ใครจะรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงสู้อดทนฟังบุตรชายชื่นชมภรรยาอยู่เป็นนาน แทบจะข่มกลั้นไม่ไหวตั้งแต่แรก นางมีนิสัยไม่ทนใครมาแต่ไหนแต่ไร เกลียดที่สุดเวลามีใครยกเหตุผลยิ่งใหญ่มากดทับนาง ต่อให้ในใจยอมรับนับถือแล้ว ปากก็จะไม่ยอมพ่ายแพ้
ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงถูกฤทธิ์น้ำส้ม* พุ่งประดัง ลืมกระทั่งเรื่องน้องชายสกุลต่ง จึงเอ่ยอย่างคับแค้น “เจ้าอ้าปากก็หยวนอี หุบปากก็หยวนอี แล้วแม่เล่า แม่มีชีวิตที่ดีหรือไม่ดี เจ้าเคยคิดถึงบ้างหรือไม่!”
“กินดีสวมอุ่น ลาภยศสรรเสริญ ท่านแม่จะมีอันใดไม่ดีเล่า” น่าเสียดายชั่วชีวิตนี้ความละเอียดอ่อนละมุนละไมทั้งหมดที่เฉิงสื่อมีล้วนแต่ใช้จนสิ้นไปกับเซียวหยวนอีผู้เดียว จึงไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่ามารดากำลังไม่พอใจอันใดอยู่กันแน่
หยาดน้ำใสในดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแทบจะหยดเผาะลงมา “ในบรรดาบุตรชายหญิงห้าคน แม่รักใคร่ห่วงใยเจ้ากับเจ้าสามมากที่สุด แต่หลังจากพวกเจ้าทยอยแต่งงานแล้วก็ห่วงหาแต่ภรรยา มีคำพูดใดล้วนบอกภรรยาเท่านั้น ไม่ไยดีแม่อีกเลย ตักแม่ว่างเปล่า หัวใจว่างโหวง ยังจะมีชีวิตที่ดีไปได้อย่างไร!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงมีพื้นเพเป็นหญิงชาวนา ไม่หวั่นเกรงความลำบากเหนื่อยยาก เพียงแต่นับจากบุตรชายคนโตจัดตั้งกองกำลัง ไม่ว่ากระทำเรื่องใดตนล้วนไม่ได้รู้เห็น ตรงข้ามกับเซียวฮูหยินที่อยู่ข้างกายเขาทุกเวลา ไม่มีเรื่องใดที่นางไม่รู้ กลับเป็นตนที่กลายเป็นคนนอกอย่างเห็นได้ชัด
เฉิงสื่อรู้สึกว่าคำตัดพ้อของมารดายากจะเข้าใจได้ “บุรุษแต่งภรรยามีครอบครัวก็ต้องเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว แม้กระทั่งยามล่วงลับ ท่านแม่ก็จะฝังร่างร่วมกับท่านพ่อ ส่วนพวกเราบุตรชายก็จะฝังร่างร่วมกับภรรยาของตน”
เขาเว้นวรรคเล็กน้อย ครั้นแลเห็นแววตาเคืองขุ่นของมารดาก็ตีความนัยไปประเด็นอื่นอย่าง ‘ฉลาดล้ำ’ “นับแต่ท่านพ่อจากไป ท่านแม่เปล่าเปลี่ยวเพียงใดลูกย่อมรู้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านแม่มีใครพึงใจแล้วหรือไม่ หากว่ามี ไยไม่แต่งงานใหม่เล่าขอรับ” ในใจเขาคิดว่าขอเพียงมารดาชมชอบ ต่อให้สนับสนุนสินเจ้าสาวมากหน่อยก็ไม่เป็นไร สมควรให้มารดาได้สุขสำราญในบั้นปลายจึงจะถูก
ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงซึ่งเดิมเปียกชื้นจนกลายสภาพเป็นป่าฝนชุกแล้วนั้น พลันแห้งผากเป็นทะเลทรายในชั่วอึดใจ จ้องมองบุตรชายด้วยนัยน์ตาโกรธเกรี้ยวปานลูกเพลิง
เฉิงสื่อยังคงรู้สึกไปเองว่าตนนั้นใจกว้างยิ่ง “ท่านแม่มิต้องเหนียมอายไปหรอก ท่านเหนื่อยแรงเหนื่อยใจเพื่อสกุลเฉิง ลูกๆ ล้วนเห็นอยู่ในสายตา หากท่านจะแต่งงานใหม่ ลูกกับน้องชายสองคนจะไม่มีคำพูดอื่นเป็นอันขาด ยิ่งไปกว่านั้นสกุลเฉิงมีสมาชิกบางตา หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ภายหน้าท่านแม่ให้กำเนิดน้องชายน้องสาวคนใหม่แก่พวกเราก็เป็นเรื่องดีงาม ลูกจะปฏิบัติกับพวกเขาดุจพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันอย่างแน่นอน!”
ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็เหลืออด ยกโต๊ะเล็กเคลือบเงาตัวนั้นขว้างไปหาเฉิงสื่ออย่างแรง “เจ้าเด็กบ้า ไสหัวไปให้ข้าบัดเดี๋ยวนี้! วันหน้าหากเจ้าด่วนจากไปก่อน รับรองข้าจะเสาะหาคนดีให้ภรรยาเจ้าแต่งงานใหม่ แล้วคลอดลูกใหม่ออกมาอีกโขยงหนึ่ง!”
นี่ก็คือประโยคปิดท้ายการพูดคุยความในใจของแม่ลูกที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสิบปีคู่นี้
อีกด้านหนึ่งชิงชงกำลังบีบนวดไหล่ให้เซียวฮูหยินอย่างเบามือ ครั้นได้ยินเสียงตะโกนอันคลุมเครือแว่วมาเป็นระยะจากจุดที่ไม่ไกลนัก นางก็เอ่ยปนยิ้มน้อยๆ “ใต้เท้ากับฮูหยินผู้เฒ่าล้วนเป็นคนเสียงดัง ไม่รู้พูดคุยกันเป็นเช่นไรบ้าง หวังเพียงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะกลับใจ คนในครอบครัวสมัครสมานย่อมจะเป็นการดี”
เซียวฮูหยินโค้งมุมปากขึ้นนิดๆ ก่อนกล่าว “หนีไม่พ้นคุยเรื่องเก่าเก็บหยุมหยิม แรกเริ่มใช้ไม้แข็งไปแล้ว ยามนี้ก็ควรใช้ไม้อ่อนบ้าง ข้าให้ใต้เท้ายกย่องความเหนื่อยยากในอดีตของท่านแม่ให้มากๆ เน้นพูดคุยถึงชีวิตในอดีตว่าแม่ลูกพึ่งพาประคับประคองกันมาอย่างไร เอ่ยถึงข้ากับสกุลเซียวให้น้อย สองคนแม่ลูกยังจะมีเรื่องใดผ่านไปไม่ได้อีกเล่า”
ชิงชงคิ้วตาแต้มยิ้ม “นายหญิงปราดเปรื่อง หนนี้ใต้เท้าต้องทำสำเร็จแน่”
* น้ำส้ม (หมัก) เปรียบเปรยถึงอารมณ์ริษยา โดยมากมักใช้กับความรู้สึกระหว่างชายหญิง จึงแปลว่าหึงหวงด้วย
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.