ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 8
เห็นริมฝีปากน้องชายขมุบขมิบ ดูเหมือนยังไม่ยอมรับ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงจึงรีบเอ่ยย้ำ “แล้วเจ้าก็ไม่ต้องเอาคำหวานมาหลอกข้าทั้งวี่วันด้วย ราชวงศ์ก่อน…ไทเฮาอะไรสักอย่างนั่น…มิใช่คิดแต่จะเกื้อหนุนสกุลเดิมหรอกหรือ ปรากฏว่าหนุนไปหนุนมากลายเป็นเอาทั้งแผ่นดินของสกุลสามีหนุนไปให้หลานชายสกุลเดิม ใต้หล้าถึงได้โกลาหลหนัก วุ่นวายจนผู้คนตั้งเท่าไรต้องบ้านแตกสาแหรกขาด! สุดท้ายค่อยมารู้จักคำว่าเสียใจ สายไปเสียแล้ว ข้าว่านางยังจะมีหน้าอันใดลงไปยมโลก!”
เฉิงเซ่าซางตะลึงงัน…เอ่อ ยังมีไทเฮาพิสดารเช่นนี้ด้วยหรือนี่ เหตุใดข้าไม่เคยได้ยินเลยเล่า เด็กสาวเพิ่งนึกได้ว่าชาติก่อนตนเป็นเด็กสายวิทย์คณิตแบบเต็มตัวจนไม่อาจจะเต็มตัวไปกว่านี้ได้อีก วิชาประวัติศาสตร์อันใด แทบดูเหมือนไม่ได้เข้าเรียนมาหลายชาติภพแล้ว
ไทเฮาที่โด่งดังในประวัติศาสตร์ตนรู้จักเพียงซูสีกับบูเช็กเทียน แล้วก็ครึ่งหนึ่งของเซี่ยวจวง ต่อให้เซี่ยวจวงอยากจะยกแผ่นดินให้สกุลเดิมก็ทำไม่ได้หรอก เพราะหลานชายของนางคือคังซีเชียวนะ ส่วนซูสี หากนางยกแผ่นดินให้สกุลเดิมไป พวกชาติมหาอำนาจจะทำอย่างไรกันเล่า หรือว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดถึงคือบูเช็กเทียน? เฉิงเซ่าซางก้มศีรษะมองหน้าอกตนเองด้วยความฉงน เช่นนั้นเหตุใดคอเสื้อจึงสูงแบบนี้ เนินอกไม่ได้เผยออกมาสักนิดเดียว เครื่องแต่งกายสมัยถังจะคร่ำครึเพียงนี้เชียวหรือ ต่อให้ตนยังหน้าอกแบนราบ แล้วเกลียวคลื่นซัดสูงของเซียวฮูหยินเล่า ไฉนสักเสี้ยวก็ไม่เผยเช่นกัน
เปรียบกับไทเฮาราชวงศ์ก่อนที่รนหาเคราะห์ร้ายใส่ตัว ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงรู้สึกว่าตนเองช่างรู้จักขอบเขตอันควร จึงเอ่ยอย่างแสนกระหยิ่มใจ “ยังมีสะใภ้บ้านสามของสกุลตงหลีว์ รายนั้นก็จุนเจือสกุลเดิมทั้งวี่วัน เมื่อแรกอาจารย์หวังที่พำนักอยู่กับสกุลตงหลีว์บอกว่าจะไปศึกษาเพิ่มเติมกับเทพเซียนเหยียน พาศิษย์ไปได้เพียงคนเดียว นางถึงกับแอบส่งหลานสกุลเดิมไป เฮอะ สกุลตงหลีว์อันใหญ่โตจะหาเด็กที่หัวดีสักคนไม่เจอเชียวหรือ บุตรชายสองคนของนางเองก็ออกจะเล่าเรียนเก่ง ต่อมาดีแท้ หลานสกุลเดิมของนางเล่าเรียนจนได้เป็นขุนนาง คนสกุลตงหลีว์กลับต้องเป็นฝ่ายไปประจบเอาใจ หึๆ ควรจะให้สตรีทั่วหล้าได้รับรู้จริงๆ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงพูดพลางจงใจชำเลืองเซียวฮูหยินปราดหนึ่ง ใครจะรู้สีหน้าของเซียวฮูหยินไม่มีสะทกสะท้าน กลับเป็นเฉิงสื่อเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “ท่านแม่พูดอันใดของท่านน่ะ” เรื่องแรกเป็นเซียวฮูหยินบอกให้เขาเล่าให้มารดาฟัง เรื่องหลังเป็นฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแสดงฝีมือออกมาเอง “หากหลานๆ ตระกูลสะใภ้มีใจรักความก้าวหน้าจริงๆ ลูกย่อมจะช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้สกุลตงหลีว์ย่ำแย่หรือไร”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงขึงตาใส่ก่อนกล่าว “นั่นเป็นเพราะพวกเขาเอาชีวิตลูกหลานเข้าเสี่ยง มารบใต้สังกัดเจ้าจนแลกได้ตำแหน่งขุนนางมา! มีหรือจะเทียบกับคนที่นั่งเป็นขุนนางสบายๆ อยู่ในห้องหนังสือได้!”
เฉิงเซ่าซางฟังอย่างออกรส หากมิใช่กลัวถูกดุด่า นางก็อยากถามจริงๆ ว่าสะใภ้ที่กินในโกยนอก* ผู้นั้นต่อมาเป็นเช่นไรแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงยิ่งพูดยิ่งมีความมั่นใจ จึงเอ่ยใส่หน้าน้าต่งไปว่า “เจ้าเลิกคิดนั่นคิดนี่เสียที หนนี้เจ้ายักยอกยุทโธปกรณ์ ก่อเรื่องให้หลานชายเจ้ามิใช่เล็กๆ ทำไม…หรือเจ้ายังอยากสร้างความเดือดร้อนให้เขาอีก รับทรัพย์เสพสุขให้เจ้ามา รับเคราะห์เสี่ยงชีวิตให้ลูกข้าไป? มีเรื่องดีเพียงนี้เสียที่ใดกัน! เจ้าเป็นบรรพชนสกุลเฉิงหรือไรถึงต้องยกถวายบูชาเจ้า!”
วาจาเอ่ยมาถึงขั้นนี้แล้ว พ่อลูกสกุลต่งย่อมไม่ต้องกล่าวอันใดอีก ทั่วโถงพลันเงียบเชียบ เหลือเพียงเสียงของต่งหย่งที่ป้องหน้าสะอื้นแผ่ว เฉิงสื่อพึงพอใจยิ่งยวด กระนั้นก็ยังหันมาเตือนพ่อลูกสกุลต่งอย่างดุดัน “หากให้ข้ารู้ว่าต่งหลี่ว์ซื่อบาดเจ็บสึกหรอตรงที่ใด ข้าจะมอบคืนให้ท่านน้ากับบุตรชายตามนั้น!”
เฉิงสื่อฆ่าฟันในทะเลโลหิตมานานปี พลังอันเหี้ยมเกรียมที่ปะทุออกมาย่อมจะมิใช่เล่นๆ เดิมทีพ่อลูกสกุลต่งก็เป็นพวกกุ้งขาอ่อน** ได้ยินเช่นนี้จึงได้แต่ขานรับเป็นพัลวัน เฉิงเซ่าซางโห่ร้องในใจว่า เยี่ยมยอด อุบายนี้อัจฉริยะโดยแท้ คำนึงถึงรอบด้าน ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย คนทั้งในและนอกบ้านล้วนจนด้วยถ้อยคำแล้ว
เฉิงสื่อถลึงตาใส่พ่อลูกสกุลต่ง ก่อนถามย้ำเสียงหนัก “ฟังเข้าใจแล้วหรือไม่” ต่งหย่งอยู่ใกล้ กลัวแต่ว่าจะถูกซัดอีกฝ่ามือ จึงรีบพยักหน้าหงึกๆ น้าต่งช้าไปหนึ่งจังหวะก่อนจะรีบพยักหน้าเช่นกัน
“เช่นนั้นก็กินอาหารได้!” เฉิงสื่อตะโกนสั่ง พ่อลูกสกุลต่งก็ตะลีตะลานกลับที่นั่งแล้วฉวยตะเกียบไม้ขึ้นทันที อาการหนีเตลิดนี้ว่องไวยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก
คนทั้งหมดต่างพากันหยิบตะเกียบกินอาหาร ในโถงมีเพียงเก่อซื่อที่กระสับกระส่ายวุ่นวายใจ นับแต่น้าสะใภ้ต่งถูกไล่ตะเพิดออกไปเมื่อหลายวันก่อน นางก็รู้สึกตงิดๆ แล้วว่าทุกสิ่งไม่ชอบมาพากล ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงคล้ายเข้าใจและให้อภัยเซียวฮูหยินแล้ว หลายวันมานี้ยามที่แม่สามีเจอหน้าลูกสะใภ้ใหญ่ล้วนไม่เคยโมโหโทโส ไม่ว่าตนจะยุแยงเช่นไรก็มีแต่หาเรื่องเสียหน้าใส่ตัว ไม่มีผู้ใดมาแยแสตน
เก่อซื่อมองเฉิงเฉิงสามีที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม ก่อนเบนสายตาไปมองฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตรงที่นั่งประธาน การโต้เถียงราวพายุโหมกระหน่ำเมื่อครู่นี้ตนไม่มีปัญญากระทั่งจะสอดปาก ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องยังเกี่ยวพันถึงสกุลต่ง รอยฝ่ามือที่ถูกตบเมื่อหลายวันก่อนฉาดนั้นยังคงเจ็บแปลบๆ อยู่เลย
หลังจากข่มใจแล้วข่มใจอีก จวบจนเห็นบรรยากาศผ่อนคลายลงแล้ว เก่อซื่อที่ยังคงข่มใจไม่ไหวก็ฝืนยิ้มกล่าว “ท่านแม่…”
ในใจเฉิงเซ่าซางระรื่นราวกับหนูตัวเล็กที่เริงร่า…มาแล้วๆ พวกที่สมควรจะถูกฟาดมาอีกคนแล้ว
ใครจะรู้ไม่ทันรอให้เก่อซื่อพูดต่อไป เฉิงสื่อกลับเอ่ยขึ้นมาก่อน “งานเลี้ยงวันนี้ ประการแรกเพื่อปลอบขวัญท่านน้าที่ได้รับความตระหนก ประการที่สองเพราะข้ามีเรื่องน่ายินดีจะประกาศ”
ด้วยถูกขัดจังหวะชมเรื่องสนุก เฉิงเซ่าซางจึงคิดในใจอย่างหัวเสีย เรื่องน่ายินดีอันใดกัน หรือว่าท่านจะแต่งภรรยาน้อย?
* กินในโกยนอก หมายถึงรับผลประโยชน์จากฝ่ายนี้ แต่กลับทุ่มเทให้ฝ่ายนั้น เฉกเช่นผู้ที่กินของคนใน แต่กลับกอบโกยแบ่งคนนอก
** กุ้งขาอ่อน ใช้เปรียบเปรยถึงคนที่เหนื่อยล้าหรืออ่อนแอจนตัวงอและแข้งขาอ่อนนิ่มเหมือนกุ้ง และยังหมายถึงคนที่หนีหายหรือถอนตัวไปเพราะกลัวที่จะต้องทำอะไรบางอย่างจนแข้งขาอ่อน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.