ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 1 บทที่ 9
ใบหน้าของเก่อซื่อเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม ถูกตอกหน้าจนจุกแน่นไปชั่วขณะ อยากพูดว่าสามีภรรยาไม่ร่วมห้องจะให้กำเนิดบุตรได้อย่างไร ทว่าอับอายเกินกว่าจะเอ่ยปาก จึงได้แต่พูดติดขัดว่า “ทะ…ท่าน ท่าน…”
ความจริงนางเคยคิดแต่แรกว่ารอจนเซียวฮูหยินกลับมาคงต้องทวงอำนาจปกครองเรือนกับห้องใหญ่คืนจากตน สำหรับอำนาจปกครองเรือนแม้ตนไม่อาจปฏิเสธ แต่ก็พอจะสร้างความลำบากได้อยู่ ส่วนห้องใหญ่ตนจะไม่ยอมถอยให้เด็ดขาด หากบีบคั้นหนักนักตนก็จะร้องไห้อาละวาด
ไม่คาดว่าตั้งแต่เซียวฮูหยินกลับมาจนบัดนี้ กลับไม่เคยเอ่ยถึงสักประโยคว่าต้องการจะริบอำนาจหรือต้องการจะเปลี่ยนห้อง ที่แท้ก็ดักรอตนอยู่ตรงนี้นี่เอง บ่าวในจวนเก่าหลังนี้ที่ตนสู้อุตส่าห์เลี้ยงจนเชื่องเชื่อแล้ว ถึงเวลาเซียวฮูหยินคงไม่แม้แต่จะไล่เลียงว่าเป็นใคร แค่ไม่เลือกใช้บ่าวในจวนเก่านี้เลยสักคนก็สิ้นเรื่อง ใช้แต่คนสนิทของนางเติมเต็มจวนใหม่โดยตรง เช่นนี้มีหรือยังจะเหลือที่ให้ตนได้พูดจา
หัวสมองของเก่อซื่อพลันกระจ่างแจ้งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายปีที่อยู่ร่วมกันในฐานะพี่สะใภ้น้องสะใภ้ เมื่อแรกตนก็เคยรับการสั่งสอนจากฝีมือของเซียวฮูหยินมาแล้ว หากตนทายไม่ผิด ยายแก่แซ่วั่นคงใกล้จะย้ายของเสร็จแล้ว ไม่แน่ตอนนี้คนที่เฝ้าคุมประตูจวนใหม่อยู่ก็คือผู้คุ้มกันที่เซียวฮูหยินพากลับมาด้วย คนเหล่านั้นตนสั่งได้เสียเมื่อไร หากตนย้ายไปจวนใหม่ อย่างมากเซียวฮูหยินก็ยอมให้ตนนำหญิงรับใช้อาวุโสไปไม่กี่คน เช่นนั้นแรงใจที่ตนเสียไปตลอดสิบปีนี้ยังจะมีประโยชน์ใดอีกเล่า
ไม่รอให้เก่อซื่อคิดคำโต้แย้งออก ต่งหย่งที่เผยสีหน้าอิจฉาก็ยิ้มเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก่อน “ท่านป้า จวนสกุลวั่นหลังนั้นหลานยังไม่เคยไปเลย ท่านพ่อกับท่านแม่ของหลานล้วนเคยติดตามท่านป้าไปชมดูแล้ว หลานจะขอ…”
“ขออันใดล้วนไม่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงปฏิเสธหลานชายอย่างเฉียบขาด “เพิ่งพูดไปหยกๆ ว่าห้ามเจ้ามาสกุลเฉิงอีก เจ้านึกว่าข้าพูดลอยๆ หรือ ต่อไปเว้นแต่สกุลเฉิงมีงานใหญ่จัดเลี้ยงแขก หาไม่เจ้าก็อย่าได้มาถึงประตูจวน”
ในดวงตาของเซียวฮูหยินฉายแววเหยียดหยาม น้าต่งแม้ละโมบ แต่ถึงที่สุดแล้วก็เป็นคนฉลาด รู้จักอ่านสีหน้ารู้จักหาลู่ทาง ต่งหย่งผู้นี้กลับไม่มีข้อดีสักข้อเดียว อายุอานามเยี่ยงนี้ยังนึกอีกว่าจะออดอ้อนงอแงต่อหน้าผู้เป็นป้าได้ เพียงอาศัยฉาบกาวหนังวัวบนหนังหน้าหนาๆ วันหลังนางจะหาคนฉีกหนังวัวชิ้นนี้ให้ละเอียด ให้เขารู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียบ้าง
เก่อซื่อป่วยหนักเที่ยวเร่หาหมอ* จึงรีบคลี่ยิ้มเอ่ย “ข้าเป็นสตรี เรื่องข้างนอกข้าไม่รู้ รู้เพียงว่าพวกเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ท่านน้ากับพี่หย่งกระทำผิด ท่านแม่ในฐานะพี่สาวและป้าจะตำหนิลงโทษนั้นชอบอยู่ ทว่าจะตัดขาดไม่ไปมาหาสู่กันได้อย่างไรเจ้าคะ” น้าต่งก็คือผู้ช่วยมือดีที่ตนจะใช้โจมตีเซียวฮูหยิน เขามาแล้วตนจึงจะมีโอกาสชนะ
เซียวฮูหยินยิ้มขัน มองไปทางผู้เป็นสามี เฉิงสื่อก็ปั้นหน้าขรึม ส่วนหูเอ่ายิ้มละไมมองไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเฉิง ความนัยในแววตานั้นก็คือ ‘ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ ข้าพูดถูกเผงเลยกระมัง นางเอ่ยเช่นนี้จริงเสียด้วย’
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงตบโต๊ะตะคอกออกไปทันใด “เรื่องของพวกข้าสกุลต่งเกี่ยวอันใดกับเจ้าด้วย! สิ่งที่ข้ากับสื่อเอ๋อร์พูดเด็ดขาดแล้ว เจ้ายังจะกล้าพูดร่ำไรอีก ในบ้านนี้เจ้านับเป็นลำดับที่เท่าไร เจ้าตัดสกุลต่งไม่ขาดเช่นนี้ ก็ไสหัวไปสกุลต่งเลยแล้วกัน! ข้าจะไม่ขวางความสำราญของเจ้าหรอก!”
ยังคงเป็นชาวนาชาวไร่ที่ตรงไปตรงมา พอเริ่มด่าทอก็โจมตี ‘สามจุดยุทธศาสตร์ช่วงล่าง’ ** ในทันที เฉิงเซ่าซางรับฟังจนสองตาเปล่งประกายวาว
วาจานี้พอกล่าวออกมา สีเลือดก็ฉีดซ่านขึ้นใบหน้าของเก่อซื่อจนเป็นสีราวตับหมู แม้นางเติบโตมาในชนบท แต่ถึงอย่างไรก็เป็นดังไข่มุกบนฝ่ามือของนายท่านผู้เฒ่าเก่อ มีบ่าวรับใช้ปรนนิบัติแต่เล็ก เคยถูกด่าหยามหมิ่นอย่างหยาบคายเช่นนี้เมื่อไรกัน ได้ยินเสียงร้องโหยไห้เพียงหนึ่งหน จากนั้นนางก็ผลักโต๊ะออก ใช้แขนเสื้อป้องใบหน้าวิ่งออกจากโถงไป
เฉิงเซ่าซางชมความสนุกไม่ติว่าเรื่องใหญ่ แอบมองไปทางอารองเฉิงเฉิงโดยไม่รอช้า ใครจะรู้ว่าเขาหน้าไม่เปลี่ยนสีแม้แต่น้อย ยังคงรินสุราเองดื่มเองเช่นเดิม ผู้ใหญ่ในโถงถึงกับไม่มีอาการตอบสนองเลยสักคน อย่างน้าต่งกับเฉิงสื่อเป็นพวกที่รู้จักพลังการโจมตีของฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงแต่แรก อย่างเซียวฮูหยินกับต่งหลี่ว์ซื่อเป็นพวกที่รู้ฉากงิ้วในวันนี้ตั้งแต่ต้น
นับดูโดยรอบแล้ว มีเพียงเด็กสาวตาโตซึ่งนั่งอยู่ข้างที่นั่งของเฉิงเซ่าซางผู้เดียวที่สองมือกำแน่น ใบหน้าแดงไปทั้งดวง เผยความรู้สึกประดักประเดิดระคนอับอาย ต่างจากเด็กชายจ้ำม่ำผู้นั้นที่เอาแต่กินไม่หยุด คาดว่าฟังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องใดขึ้น
ด่ากราดลูกสะใภ้รองจบ ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงก็คึกคักกระชุ่มกระชวย หูเอ่าเติมสุราจนเต็มจอกก่อนยิ้มกล่าว “พูดมาครึ่งค่อนวันแล้ว ท่านรีบดื่มให้ชุ่มคอขึ้นเถิด” จากนั้นนางก็ใช้ช้อนหั่นเนื้อน่องไก่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงต่อ “วันนี้ข้าเป็นคนลงครัวไปนึ่งเอง ท่านชิมดูว่าใช่รสชาติตอนที่พวกเรายังเด็กเคยกินหรือไม่”
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงชิมไปคำโต ก่อนชมเปาะด้วยความประหลาดใจ “ก็คือรสชาตินี้! ทั้งหอมหวนทั้งหนึบนุ่ม” นางส่งยิ้มให้หูเอ่า “ตั้งแต่เด็กเจ้าก็ชอบทำอาหาร ข้าไม่ได้กินฝีมือเจ้ามาตั้งหลายปีแล้ว” จากนั้นนางก็หันไปมองต่งหย่งที่นิ่งงันเป็นไก่ไม้* “มัวมองอันใดอยู่ กินอาหารสิ!”
หูเอ่าเอ่ยปนยิ้ม “ท่านต่งกับคุณชายต่งเกิดมาก็มีชะตาที่มั่งมีวาสนา คงจะไม่เห็นอาหารพื้นบ้านเหล่านี้เข้าตากระมัง”
เฉิงเซ่าซางลอบตบหน้าขา ท่านยายผู้นี้คารมดีแท้ๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงฟังจบ เห็นเฉิงสื่อกำลังกินเนื้ออย่างเอร็ดอร่อยคล้ายมิได้กินมาช้านานแล้ว คาดว่าทำศึกอยู่แนวหน้าจะไปมีของอร่อยได้อย่างไร นางก็ให้ปวดใจเอ่ยเสียงดังก้อง “ตอนที่ท่านพ่อยังอยู่ มีท่านพ่อคอยดูแล หลังจากท่านพ่อล่วงลับไป ก็มีข้าดูแลต่อ พวกเขาสองพ่อลูกเคยได้รับความทุกข์ยากเมื่อไรกัน มีแต่ลูกๆ ของข้าที่ได้รับความทุกข์ยาก!”
น้าต่งที่อยู่ด้านข้างจะวางตะเกียบก็ไม่ถูก จะถือตะเกียบต่อก็ไม่ถูกอีก จึงได้แต่ฝืนยิ้มประจบ
* ป่วยหนักเที่ยวเร่หาหมอ หมายถึงเที่ยวขอความช่วยเหลือไปทั่วหรือลนลานคิดหาทางแก้เมื่อเรื่องคับขันจวนตัว
** สามจุดยุทธศาสตร์ช่วงล่าง หมายถึงท้อง เป้า และขา เป็นกระบวนท่าที่ค่อนข้างโหดเหี้ยมของผู้ฝึกยุทธ์ ผู้ที่ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงอาจหมดสติหรือถึงขั้นเสียชีวิต
* นิ่งงันเป็นไก่ไม้ เป็นสำนวน หมายถึงเหม่อค้างด้วยความตกตะลึงหรือตื่นตระหนกจนแข็งทื่อราวกับไม้สลักรูปไก่
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 ก.ย. 65 เวลา 12.00 น.