บทที่ 31
ยามที่เฉิงเซ่าซางถูกดึงตัวออกมา ศีรษะกับใบหน้าก็รับไปหลายหมัดแล้ว นางรู้สึกว่าแก้มปวดแสบ หางตาคล้ายถูกชกจนบวมปูด คางก็เหมือนถูกข่วนเป็นรอยแผลเล็กหนึ่งสาย ครั้นหรี่ตามองอิ่นสวี่เอ๋อ เฉิงเซ่าซางก็อดไม่ได้ที่จะลอบชมตนเองว่า วิชาก้นหีบยังไม่ลืมหาย!
ท่ามกลางความชุลมุน นางเห็นแวบๆ ว่าหยวนเซิ่นมีสีหน้าวิตกกังวล หนุ่มน้อยนามโหลวเหยาผู้นั้นราวถูกสายฟ้าฟาด คล้ายได้เปิดกว้างความรู้ในชีวิตขนานใหญ่ อิ่นซื่อที่รีบรุดมาถึงทั้งโกรธทั้งร้อนใจจนกระทืบเท้าไม่หยุด ภายหลังมือไม้ปั่นป่วนกันชั่วขณะหนึ่ง อิ่นสวี่เอ๋อที่ร้องห่มร้องไห้ก็ถูกส่งตัวไปยังห้องปีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่ในเรือนหลังของจวนสกุลอิ่นพร้อมกับเฉิงเซ่าซาง ที่นั่นมีอิ่นฮูหยิน เซียวฮูหยิน ตลอดจนวั่นฮูหยินกับวั่นชีชีแม่ลูกที่เพิ่งรุดมาถึง
แรกได้ยินเรื่องนี้อิ่นฮูหยินซวนเซจนเกือบพลัดตกจากขั้นบันได รีบฝากฝังหน้าที่ต้อนรับแขกเหรื่อไว้กับพี่สะใภ้น้องสะใภ้แล้วตรงมาทันที เซียวฮูหยินแลดูยังเยือกเย็นอยู่ ทว่าลมหายใจก็ถี่กระชั้นขึ้นมาก วั่นฮูหยินแม้มิใช่ผู้เกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่อาจวางตัวอยู่นอกเรื่องราว กำลังกระอักกระอ่วนไม่รู้ควรยืนข้างฝ่ายใดดี ผิดกับวั่นชีชีที่ตกลงใจแล้วว่าจะต้องผดุงคุณธรรมอันสูงส่งให้ได้!
อิ่นซื่อรีบรายงานเหตุการณ์สำคัญคร่าวๆ ริมหูแม่ใหญ่ของตนรอบหนึ่ง อิ่นฮูหยินฟังจบค่อยโล่งอกขึ้นบ้าง
มีคนเห็นไม่มากก็ดีแล้ว สาวใช้สองคนเป็นบ่าวสกุลอิ่น นางควบคุมได้อย่างเต็มที่ หยวนเซิ่นกับโหลวเหยาอย่างไรก็เป็นบุรุษ ทั้งมีชื่อเสียงไม่เลว หากเชิญสามีของนางออกหน้าไหว้วาน คนหนุ่มทั้งสองย่อมไม่พูดมากจนถึงกับออกไปข้างนอกเล่าเรื่องหยุมหยิมเช่นแม่นางน้อยตีกันนี้ส่งเดช
สิ่งเดียวที่น่าแปลกอยู่บ้างคือหยวนเซิ่นผู้นั้นคล้ายกระตือรือร้นในเรื่องนี้มากเกินไป หากมิใช่อิ่นซื่อบุตรสาวคนโตใช้วาจาเข้าทีต่อต้านไว้ เขาก็เกือบจะตามเข้ามาด้วยแล้ว หลังจากถูกเกลี้ยกล่อมให้ถอยไป เขายังป้วนเปี้ยนสอบถามอาการบาดเจ็บหลายหน ไม่เห็นเหมือนที่สามีเคยพูดถึงว่า ‘เขาแม้ได้ถวายรับใช้ข้างพระวรกายฝ่าบาทบ่อยครั้ง ประสบความสำเร็จแต่ยังเยาว์ ทว่ากิริยาวาจายังคงรอบคอบสำรวมตน’
ฉะนั้น…หรือว่าคนเราอาจมีความชอบพิกลบางอย่าง? หรือว่าหยวนเซิ่นจะชอบชมดูแม่นางน้อยตีกัน?
ในฐานะมารดาที่มีบุตรสาวอยู่ในวัยเหมาะจะออกเรือน อิ่นฮูหยินมิใช่ไม่เคยคิดหวังจะได้หยวนเซิ่นมาเป็นบุตรเขย ทว่าสามีกลับไม่เห็นดีด้วยแต่อย่างใด บอกว่าหยวนเซิ่น ‘แลคล้ายไม่ไยดีในลาภยศ แท้จริงภายในมีเจตนาอันลุ่มลึก’ วันหน้าตระกูลภรรยาที่เขาเลือกจะต้องพิถีพิถันยิ่งยวด อาจเกี่ยวดองกับพระญาติเชื้อพระวงศ์ผู้ทรงอำนาจสูงสุด หรือไม่ก็อาจเลือกบุตรีของปราชญ์อาวุโสผู้ลือนามมากบารมีทว่าไกลห่างจากราชสำนัก นั่นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
เดิมความหวังที่อิ่นฮูหยินมีต่อหยวนเซิ่นลดลงกว่าครึ่งแล้ว ผ่านเรื่องในวันนี้เขาได้เห็นบุตรสาวนางตบตีเด็กสาวที่มาจากบ้านสหายของบิดามารดา ก็ทำให้นางดับความคิดหวังนั้นทิ้งโดยสิ้นเชิง
“น้องสาววางใจได้ ไม่มีคนอื่นเห็น เรื่องนี้จะไม่แพร่งพรายไปหรอก” อิ่นฮูหยินซับเหงื่อ เอ่ยปลอบใจเซียวฮูหยิน ก่อนหันหน้าไปดุด่าบุตรสาวอย่างมีโทสะ “เจ้าลูกอกตัญญู! เจ้าทั้งโตกว่าทั้งเป็นเจ้าบ้าน กลับยังตบตีแม่นางน้อยสกุลเฉิง! ตำราอ่านมาเสียเปล่า จรรยามารยาทก็เรียนมาอย่างสูญเปล่าแท้ๆ! ข้าจะไปบอกพ่อเจ้า ดูซิเขาจะลงโทษเจ้าอย่างไร!”
เฉิงเซ่าซางยิ้มร่าอยู่ในใจ…ที่แท้บิดามารดายุคนี้ยามโกรธจนด่าทอบุตรล้วนใช้คำว่า ‘ลูกอกตัญญู’ กันนี่เอง
ก่นด่าบุตรสาวจบ อิ่นฮูหยินก็เอ่ยกับเฉิงเซ่าซางเสียงอ่อนโยน “เซ่าซางหลานป้า ทำให้เจ้าได้รับความเจ็บช้ำแล้ว เจ้าวางใจได้ ป้าจะให้ความยุติธรรมแก่เจ้าแน่ รอจนงานเลี้ยงวันนี้ยุติ รับรองว่าจะให้เด็กอกตัญญูนี่ลิ้มรสกฎตระกูล!”
เด็กสาวสองคนที่ตีกันแล้วถูกจับแยกล้วนมีสภาพอเนจอนาถ เพียงแต่เฉิงเซ่าซางดูน่าเวทนากว่าอย่างเห็นได้ชัด จมูกเขียวหน้าบวมดุจหัวหมู บนสาบเสื้อยังเปื้อนไปด้วยเลือดกำเดา เปรียบกันแล้วอิ่นสวี่เอ๋อนอกจากผมเผ้าสยายยุ่ง แป้งชาดเลอะเลือน ตามใบหน้าตามมือล้วนปกติดี ประกอบกับคนหนึ่งตัวสูงใหญ่กว่า อีกคนหนึ่งตัวเล็กอ่อนวัยกว่า รูปการณ์จึงชัดแจ้งโดยไม่ต้องอธิบายใดๆ
มีแต่เซียวฮูหยินที่แจ้งใจถึงอุปนิสัยกับฝีมือของบุตรสาว ใต้หล้านี้ผู้ที่ทำให้บุตรสาวนางเสียเปรียบได้มีไม่มากจริงๆ เกรงว่าข้อเท็จจริงคงมิใช่อย่างที่เห็น แต่หากกลบเกลื่อนผ่านไปเช่นนี้ได้ก็ไม่เลวเช่นกัน นางจึงแสร้งเอ่ยปลอบอิ่นฮูหยินอย่างใจกว้าง ขณะเดียวกันก็กำชับให้องครักษ์หญิงประจำตัวไปตรวจดูอาการบาดเจ็บของเฉิงเซ่าซาง
ครั้นได้ยินคำตำหนิติเตียนเสียงแล้วเสียงเล่า อิ่นสวี่เอ๋อจะยอมรับความผิดไว้ได้อย่างไร ทางหนึ่งร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล อีกทางหนึ่งร้องบอกเสียงรัวว่าตนถูกใส่ร้าย ทว่าก็หาพยานหลักฐานมาหักล้างไม่ได้ นับว่าถูกปรักปรำแทบตายแล้วจริงๆ! ใครจะรู้ว่าตอนนี้เฉิงเซ่าซางกลับเอ่ยขึ้นว่า “เป็นข้าเองเจ้าค่ะที่ตีพี่สวี่เอ๋อก่อน”
อิ่นสวี่เอ๋อเอียงหน้ามามองเฉิงเซ่าซางในอาการตาค้าง