ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 31
วาจานี้พอกล่าวออกมา ผู้คนในห้องปีกล้วนตระหนกวูบ
หัวใจของอิ่นฮูหยินผ่อนคลายลง คิดในใจว่า แม่นางน้อยแม้อารมณ์ร้าย ตัวคนก็ยังเที่ยงธรรม มีเหตุมีผล
ต่างจากเซียวฮูหยินที่หัวใจเต้นตุบ อารมณ์แสนจะซับซ้อน จับจ้องบุตรสาวที่บาดเจ็บไปทั่วดวงหน้าแต่กลับดูไม่อินังขังขอบแต่อย่างใด
วั่นชีชีที่อยู่อีกด้านร้อนใจแล้ว นางเพียรปัดมือวั่นฮูหยินที่คว้าแขนตนไว้แน่น ก่อนเอ่ยเสียงดัง “น้องเซ่าซางยึดถือเหตุผลเป็นที่สุด นางจะไม่ตีคนส่งเดชเป็นอันขาด นี่ต้องมีสาเหตุแน่นอน เซ่าซาง เจ้าพูดสิ พูดออกมา!”
ที่เฉิงเซ่าซางรออยู่ก็คือคำพูดนี้ ในใจจึงตะโกนก้องว่า สหายช่างมีน้ำใจแท้! จากนั้นก็ถือโอกาสนี้ฟ้องร้องพลางปั้นสีหน้าเข้มแข็ง “นางพูดว่าข้าไม่มีบิดาไม่มีมารดา ไร้การอบรม กระทั่งตัวอักษรก็รู้จักแค่ไม่กี่ตัว หยาบกระด้างเหลือจะกล่าว!”
อิ่นซื่อชำเลืองตาเห็นเซียวฮูหยินหน้าขรึมลงก็ให้ปวดหัวไม่คลาย ระหว่างตบตีแขกกับด่าทอลบหลู่แขก ไม่รู้อย่างใดจะส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของน้องสาวต่างมารดาน้อยกว่ากัน นางเหลือบมองแม่ใหญ่ของตนอีกหน กลับพบว่าอีกฝ่ายนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ในดวงตาถึงกับเปียกชื้นหลายส่วน
ครานี้อิ่นสวี่เอ๋อไม่อาจร้องว่าถูกปรักปรำได้อีก เพราะนางเคยเอ่ยคำพูดเช่นนี้จริงๆ กระนั้นนางก็ยังอยากจะแย้งเหลือเกินว่าคำพูดเหล่านี้มิใช่เรื่องจริงหรือไร! พูดเรื่องจริงก็ผิดด้วยหรือ! ทว่าเมื่อเผชิญกับสีหน้าไม่ชวนมองของเหล่าผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านบน นางก็ตระหนักได้ว่าขืนพูดออกไปเช่นนี้จะต้องย่ำแย่กว่าเดิมแน่
อิ่นซื่อก้าวออกมาคลี่ยิ้มไกล่เกลี่ย “น้องสาวข้าพูดจาไม่เป็น ล่วงเกินคนไปไม่รู้ตั้งเท่าใดแล้ว ครานี้ถือเสียว่านางพูดผิดไป…”
“พี่สวี่เอ๋อมิได้พูดผิดเลยเจ้าค่ะ ไม่ผิดแม้สักคำสักประโยคเดียว” เสียงของเฉิงเซ่าซางเจือสะอื้นไห้ ตรอมตรมขมขื่น สุดแสนน่าสงสาร “ก็เพราะมิได้พูดผิด ข้าไม่อาจจะโต้แย้ง จึงได้แต่ลงไม้ลงมือ…”
วั่นชีชีฟังจนเดือดดาลสุดระงับ เลือดที่ร้อนระอุพุ่งถึงกระหม่อมในพริบตา
นางปัดการฉุดรั้งของวั่นฮูหยินสุดแรง แล้วกระโดดพรวดออกมาชี้หน้าอิ่นสวี่เอ๋อ “ดังคำว่าตีกันไม่ตีใบหน้า ด่ากันไม่ด่าปมด้อย! เป็นเพราะน้องเซ่าซางเกียจคร้านโง่เขลาจึงไม่ได้อ่านตำราเรียนรู้จรรยาให้ดีอย่างนั้นหรือ เจ้ามักอวดอ้างว่าได้รับการอบรมดีตามอย่างกุลสตรีเมืองหลวง รู้ทั้งรู้ว่าผู้อื่นมีเรื่องเจ็บปวดที่เก็บซ่อนไว้ในใจ เจ้าก็ยังไม่ลดราวาศอก นี่หรือคือการอบรมที่เจ้าอวดอ้าง!”
อิ่นสวี่เอ๋อปากอ้าลิ้นพัน หนนี้นางไม่อาจหักล้างถ้อยคำสวยหรูเต็มปากเต็มคำของวั่นชีชีได้อีก จึงทำได้เพียงร้องตะโกนอยู่ในใจต่อไปว่า สิ่งที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริงทั้งนั้นนี่ เรื่องจริงทั้งนั้น!
เฉิงเซ่าซางสังเกตสีหน้าฝ่ายตรงข้ามแล้วให้บังเกิดความสงสารนิดๆ…สิ่งที่ไม่อาจพูดที่สุดบนโลกใบนี้ อันที่จริงมักมิใช่คำโป้ปดหรือให้ร้าย หากแต่เป็นเรื่องจริง
ชั่วขณะนี้คนที่เหลือนอกจากเซียวฮูหยินต่างสบตากัน รู้สึกว่าเรื่องราวกระจ่างแจ้งยิ่งแล้ว น่าจะเป็นเพราะอิ่นสวี่เอ๋อเอ่ยวาจาไร้มารยาทก่อน เฉิงเซ่าซางที่เยาว์วัยถูกยั่วยุจึงวู่วามชกหมัดเข้าใส่ น่าเสียดายตัวเล็กแรงน้อย สุดท้ายถูกอิ่นสวี่เอ๋อกดร่างตีไปหนึ่งยก นับอย่างไรก็เป็นเฉิงเซ่าซางที่เสียเปรียบ
วั่นชีชีไม่สนใจสายตาของมารดา ยังคงเติมไฟเข้าไปหนึ่งกอง เล่าเรื่อง ‘พุทรารังนกไหมทอง’ เมื่อครู่ก่อนนั้นออกมาหมดเปลือกในรวดเดียวแล้วเสริมอีกว่า “ท่านป้าอิ่น มิใช่ข้ายุแยงนะเจ้าคะ แต่น้องเฉิงยางก็ถูกนางรังแกเช่นกัน!”
อิ่นฮูหยินมีสีหน้าระทมทุกข์ เอ่ยด้วยท่าทางตาลอย “เฉิงยางเติบโตในบ้านผู้เป็นตา ก็ไม่มีบิดามารดาอยู่ข้างกาย”
วั่นชีชีคาดไม่ถึงว่าอิ่นฮูหยินจะมีท่าทีตอบสนองเช่นนี้ จึงชะงักไปเล็กน้อยก่อนกล่าว “มิผิดเจ้าค่ะ!”
เซียวฮูหยินเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็เบือนหน้า ใช้แขนเสื้อป้องบังแล้วร่ำไห้ “ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง เมื่อแรกหากข้าไม่ทิ้งเซ่าซางไว้ ก็จะไม่เป็นเช่นนี้แล้ว…”
เฉิงเซ่าซางลอบชื่นชมว่า หัวหน้าเซียวแห่งฝ่ายการศึกษาช่างแสดงได้ดียิ่ง อ่อนได้แข็งได้ ยืดได้หดได้ ขึ้นบนได้ถึงแท่นบัญชาการแม่ทัพ ลงล่างได้ถึงเวทีแสดงงิ้ว
มาถึงยามนี้อิ่นฮูหยินกลับเยือกเย็นขึ้นแล้ว นางคารวะเซียวฮูหยินอย่างสง่าภูมิฐาน เอ่ยวาจามีหลักการ “เรื่องนี้เป็นข้าต่างหากที่สอนบุตรสาวไม่เข้มงวด เจ้าวางใจได้ ข้าจะให้คำชี้แจงแก่เด็กทั้งสองแน่นอน วันนี้พวกเราสองสกุลผูกไมตรี อัธยาศัยตรงกัน วันเวลาข้างหน้ายังอีกยาวไกล น้องสาว เจ้าไม่ควรอำลางานเลี้ยงไปในเวลานี้ จะทำให้ผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องขบขันเอาได้ มิสู้สั่งคนส่งเซ่าซางกลับจวนไปพักฟื้นก่อนจะดีกว่า”
เซียวฮูหยินมีปฏิภาณเพียงนี้ นางมองออกทันทีว่าสีหน้าของอิ่นฮูหยินผิดปกติ ต้องมีเรื่องลับส่วนตัวอย่างอื่นเป็นแน่ ทว่าเมื่อเกี่ยวพันถึงเรื่องในครอบครัวสกุลอิ่นก็ไม่เหมาะที่นางจะยุ่มย่ามให้มากความ นางจึงพาบุตรสาวออกไปโดยไม่ชักช้า
วั่นชีชีกังวลเรื่อง ‘ว่าที่พี่น้องร่วมสาบาน’ จะเสียโฉม จึงทิ้งมารดาไว้แล้วติดตามออกไปด้วย ปากก็งึมงำว่า “บ้านข้ามียาสมานแผลชั้นดี ข้าจะสั่งคนกลับบ้านไปหยิบประเดี๋ยวนี้”
ครั้นเห็นพวกนางออกไปแล้ว อิ่นฮูหยินก็ซวนเซทรุดลงบนม้านั่ง หยาดน้ำตาไหลพราก สีหน้าโศกสลดสุดบรรยาย
อิ่นซื่อตระหนกจนหน้าถอดสี นางกับแม่ใหญ่ผูกพันกันดียิ่ง จึงรีบคุกเข่าตรงหน้าอีกฝ่ายแล้วซักถามเสียงรัวอย่างรุ่มร้อนใจ “ท่านแม่ ท่านแม่เป็นอะไรไปเจ้าคะ!”
อิ่นฮูหยินป้องหน้าด้วยผ้าดิ้นแพร ร่ำไห้ไม่เอ่ยวาจา
มีเพียงวั่นฮูหยินที่ล่วงรู้อดีตของอีกฝ่าย จึงก้าวขึ้นหน้าไปเอ่ยเสียงนุ่มนวล “อาหยวน ผ่านไปแล้วนะ ล้วนผ่านไปหมดแล้ว บัดนี้…เจ้ามีครอบครัวที่สุขสมบูรณ์และก็เป็นย่าคนแล้ว บิดามารดาเจ้าในปรภพรับรู้ จะต้อง…จะต้อง…” พูดๆ อยู่วั่นฮูหยินเองก็ใช้แขนเสื้อป้องใบหน้าร่ำไห้ออกมาเบาๆ
อิ่นฮูหยินซับหยดน้ำตา เดินไปถึงตรงหน้าอิ่นสวี่เอ๋อที่นิ่งงันเป็นไก่ไม้ แล้วเงื้อมือตบหน้าบุตรสาวอย่างแรงหนึ่งฉาด ปรากฏรอยแดงขึ้นบนใบหน้าของอิ่นสวี่เอ๋อในทันที เห็นชัดว่าอิ่นฮูหยินออกแรงหนักเพียงใด
“ท่านแม่!”
“อาหยวน!”
อิ่นซื่อกับวั่นฮูหยินร้องอุทานออกมาพร้อมกัน