อิ่นสวี่เอ๋อถูกตบจนทึ่มทื่อไปทันตา นับแต่เกิดมานางมีบิดามารดารักใคร่ตามใจ มีพี่ชายพี่สาวรักถนอม อย่าว่าแต่ตีลงโทษเลย แม้แต่วาจาแรงๆ สักประโยคก็ไม่เคยเอ่ยกับนาง ครานี้ถูกตบหน้าเป็นหนแรกในชีวิต กระทั่งจะร้องไห้นางก็ถึงกับร้องไม่ออก
อิ่นฮูหยินจับจ้องบุตรสาวในไส้พลางเอ่ยเสียงเย็นชา “แต่เล็กข้าเองก็ไม่มีบิดามารดา ก่อนอายุสิบสองไม่เคยได้อ่านตำราสักม้วน ไม่เคยรู้จักอักษรสักตัว ข้าเองก็หยาบกระด้างเหลือจะกล่าว ไม่คู่ควรจะเป็นมารดาเจ้า! ต่อไปเจ้าอย่ามานับญาติกับข้าเลย ข้าไม่กล้ารับหรอก!”
ท่ามกลางหยาดน้ำที่พร่ามัวดวงตา อิ่นฮูหยินนึกถึงอดีต ตนเองก็เคยถือกำเนิดในรังอันแสนสุข มีครอบครัวที่ครบสมบูรณ์เช่นเดียวกับบุตรสาวในตอนนี้ ใครจะรู้จู่ๆ วันหนึ่งกลับถูกคนป้ายสีจนบ้านแตกสาแหรกขาด นางได้แต่เบิกตามองบิดากับพี่ชายถูกประหารกลางตลาด มารดาทุ่มสุดชีวิตพานางไปซ่อนตัวที่บ้านของวั่นฮูหยิน ไม่นานต่อมามารดาก็ล่วงลับไปอีกคน
เนื่องจากอายุยังน้อยได้รับความสะเทือนใจรุนแรง นางจึงเซื่องซึมทึ่มทื่อมาตลอดหลายปี ยังดีได้วั่นฮูหยินทุ่มเทดูแลปลอบประโลมดุจพี่สาวแท้ๆ กระทั่งปีที่นางอายุได้สิบขวบจึงมีสติแจ่มใสในที่สุด ต่อมาสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ศัตรูถูกกรรมตามสนองแล้ว บิดาของวั่นฮูหยินจึงได้กล้าพานางออกมา ส่งไปยังบ้านผู้เป็นอาที่อยู่แดนไกล
ท่านอากับอาสะใภ้ล้วนเป็นคนเมตตาอารี มองนางเสมือนบุตรสาวแท้ๆ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ กลางดึกภายใต้ผ้าห่ม นางที่เยาว์วัยก็ยังคงพรั่นใจว้าเหว่คะนึงหาบิดามารดา ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเด็กสาวที่ข่มเหงนางกลุ่มนั้นเคยเยาะหยันว่านาง ‘ไม่มีบิดามารดาไร้การอบรม’ กี่ครั้งกี่หนแล้วก็สุดจะรู้
อิ่นซื่อกับอิ่นสวี่เอ๋อไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน จึงต่างตะลึงงันไปชั่วขณะ
อีกด้านใต้เท้าอิ่นจื้อที่กำลังเลี้ยงแขกอยู่ด้านหน้าได้ยินหญิงรับใช้อาวุโสมารายงานว่าภรรยาของเขาร่ำไห้ปวดร้าวไม่คลาย นอนซมไม่อาจจะลุกขึ้นได้ เขาก็รีบกลับห้องไปดู ภายหลังได้รู้สาเหตุ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ตบหน้าบุตรสาวคนเล็กหนึ่งฉาดดังกังวานเช่นกัน จากนั้นด่าว่า “ลูกอกตัญญูที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” ตามด้วยว่ากล่าวสั่งสอนหนึ่งยก ตีมือด้วยไม้เรียว กับลงโทษคัดตำรา…ขาดก็แต่สั่งคุกเข่าในศาลบรรพชน
แม่นางน้อยอิ่นสวี่เอ๋อที่มีชีวิตราบรื่นดังใจมาสิบห้าปี ครานี้ถึงกับได้รับโทษเกือบครบชุดในรวดเดียว
เปรียบกับอิ่นสวี่เอ๋อผู้เผชิญพายุฝนอันขื่นขม เฉิงเซ่าซางทางนี้เรียกได้ว่ามีสายลมอ่อนพาหยดฝนพรำชโลมใจ
ภายหลังกลับถึงจวนสกุลเฉิง อาจู้เห็นคุณหนูบาดเจ็บไปทั้งหน้าทั้งศีรษะก็ปวดใจสุดจะทานทน หลั่งน้ำตาโดยไร้เสียงไปหนึ่งอ่างล้างหน้า ทว่าในขณะที่ช่วยคุณหนูผลัดเปลี่ยนชุดที่ฉีกขาดสกปรก กลับพบว่าใต้ร่มผ้ามีรอยแผลน้อยแสนน้อย ผิวพรรณอันอ่อนละมุนแทบจะสมบูรณ์ไร้ตำหนิ
“ข้าก็บอกแต่แรกแล้ว แผลเหล่านี้ไม่เป็นปัญหา ข้ารู้ว่าอะไรเป็นอะไรนะ” เฉิงเซ่าซางยิ้มตาหยีพลางตบไหล่อาจู้เบาๆ
ทักษะ! กุญแจสำคัญอยู่ที่ทักษะ! แม่นางน้อยแซ่อิ่นผู้นั้นเมื่อแรกมองดูเหมือนอาการไม่หนักหนา แต่เฉิงเซ่าซางรู้ว่าตนเองออกกระบวนท่าที่ร้ายกาจไป ต่อให้ร่างนี้เรี่ยวแรงไม่มาก ก็ต้องทำให้อิ่นสวี่เอ๋อนั่งนอนไม่สบาย กินอันใดล้วนไม่อร่อย
โดยเฉพาะหนึ่งเท้าที่นางเตะใส่ขา กับหลายขยุ้มที่นางหยิกใส่เอวของอิ่นสวี่เอ๋อนั้น อย่างแรกเดินตามแนวทางหนักแน่นกลมกลืนของสำนักเส้าหลิน อย่างหลังยึดตามหลักสายลมไล้ใบหน้าของสำนักอู่ตัง ระดับทักษะเรียกได้ว่าทะลุเกณฑ์ ขั้นต่ำแม่นางน้อยแซ่อิ่นต้องเจ็บไปสามวัน หากเจ็บน้อยไปกว่านั้นหนึ่งวันก็เขียนชื่อเฉิงเซ่าซางกลับหลังได้เลย!
เฉิงเซ่าซางรู้ว่าประเดี๋ยวเซียวฮูหยินกลับมา ยังจะมีศึกหนักรอนางอยู่ หลังล้างเนื้อล้างตัวและกินอาหารกลางวันที่มีผักเนื้ออุดมสมบูรณ์ไปหนึ่งมื้อจึงรีบขึ้นเตียงไปพักผ่อน กอดผ้าห่มหลับสบายไปถึงยามบ่าย ครั้นตื่นขึ้นมาเห็นดวงตะวันคล้อยสู่ทิศตะวันตกค่อยรู้ว่าคนสกุลเฉิงล้วนกลับจวนมาครบทุกคนแล้ว ไม่ผิดจากที่คิด อาจู้เอ่ยอย่างหวั่นวิตกว่าเซียวฮูหยินสั่งให้คุณหนูตื่นแล้วไปยังโถงเก้าอาชาในทันที
เฉิงเซ่าซางหยิบคันฉ่องเล็กแบบมีด้ามจับที่พี่รองเฉิงซ่งเพิ่งมอบให้บานนั้นมาส่องดูซ้ายขวา มองภาพหัวหมูที่เล็กน่ารักในคันฉ่องพลางลอบจุปากชื่นชม รู้สึกว่าหนนี้ตนควบคุมสถานการณ์ได้เหมาะเจาะล้ำเลิศโดยแท้ ผลที่ต้องการก็คือเช่นนี้นี่ล่ะ
ครานี้ความมั่นใจของนางยิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอีก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.