บทที่ 32
เฉิงเซ่าซางเริ่มจากเปลี่ยนมาสวมชุดชวีจวีกลางเก่ากลางใหม่เนื้อผ้าอ่อนนุ่มแนบลำตัว สั่งคนไปแจ้งเซียวฮูหยินว่าตนกำลังไป จากนั้นย่างฝีเท้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน ครั้นเดินไปได้ครึ่งทาง นางขบคิดเล็กน้อยก็เรียกให้เหลียนฝางไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายทั้งสาม ทั้งบอกเหลียนฝางว่าเล่าสถานการณ์ให้ร้ายแรงหน่อยก็ไม่เป็นปัญหา…เกิดตนถกเถียงจนไฟลุกขึ้นมา ย่อมต้องเตรียมกลุ่มผู้ดับเพลิงไว้ให้พร้อมสรรพ
เมื่อไปถึงโถงเก้าอาชา แลเห็นเฉิงสื่อสามีภรรยานั่งสูงตรงตำแหน่งประธาน เฉิงจื่อกับซังซื่อนั่งอยู่ด้านข้าง แต่ละคนมีสีหน้าต่างกันไป
เซียวฮูหยินกลั้นใจรออย่างเคร่งขรึม สีหน้าบ่งชัดว่าจะต้อง ‘ถกกับเจ้าให้กระจ่าง’ ผิดกับซังซื่อที่โปรยยิ้มเย้ามาให้ ส่งสายตาบ่งบอกว่า ‘ข้ามาช่วยเจ้า’ พาให้ในใจเฉิงเซ่าซางซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง
ฝ่ายเฉิงจื่อกำลังฝืนกลั้นหาว เดิมทีเขาอยากนอนยามบ่ายสักหน่อย ทว่าภรรยาจะมาชมดูศึกประลองกำลังระหว่างคู่แม่ลูกนี้ให้ได้ เขาจึงได้แต่ติดตามมา
มีเพียงเฉิงสื่อแม้จะรับรู้แต่แรกว่าเกิดเรื่องใดขึ้น กระนั้นทันทีที่เขาเห็นบุตรสาวก็ยังคงร้องเสียงหลง “เหนียวเหนี่ยว! ไหนบอกว่าแค่ทะเลาะกัน เด็กแซ่อิ่นนั่นถึงกับตีเจ้าจนเป็นเยี่ยงนี้! ลูกพ่อ เจ้าเจ็บหรือไม่”
นายท่านผู้เฒ่าเฉิงรูปงามจนเป็นที่ตกตะลึงไปทั่ว ทว่าตนในฐานะบุตรชายคนโตกลับไม่ได้รับสืบทอดมาแม้แต่น้อย ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าวัยเด็กเฉิงสื่อเสียดายเพียงใด กว่าเขาจะได้บุตรสาวโฉมงามมาสักคนเช่นนี้ง่ายดายหรือไร แต่เด็กแซ่อิ่นกลับยังมาบ่อนทำลายกันอีก หรือจะเป็นเพราะริษยา?!
เดิมเซียวฮูหยินกลั้นลมหายใจปั้นหน้าเคร่งขรึมเที่ยงธรรม พอได้ยินถ้อยคำของสามี ความพยายามก็พลันพังทลาย นางหันขวับไปมองเขาอย่างจนใจ “แม่นางสกุลอิ่นก็ถูกตีบาดเจ็บเช่นกัน ท่านอย่าเอาแต่ห่วงลูกตนเองสิ!”
เฉิงสื่อคลางแคลง “ใบหน้าของแม่นางน้อยสกุลอิ่นก็ถูกตีจนมีสภาพนี้?” เขาชี้มือไปยังใบหน้าของเฉิงเซ่าซางที่บวมเป่งดั่งหัวหมู
เซียวฮูหยินลำคอตีบตัน เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยตอบได้ “นาง…นางบาดเจ็บตรงจุดอื่น”
“แม่นางน้อยตีกันหมัดอ่อนเท้าเบา ไม่มีทางเจ็บหนักหรอก จะสามารถทำให้ซี่โครงหรือว่ามือเท้าหักกันได้อย่างไรเล่า ยังจะมีจุดอื่นสำคัญไปกว่าใบหน้าอีกหรือ!” ฝ่ามือใหญ่ของเฉิงสื่อตบลงบนโต๊ะอย่างแสนเจ็บแค้น “เหนียวเหนี่ยวยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมายเลยนะ! หากใบหน้านี้รักษาไม่หาย ข้าไม่เลิกรากับคนสกุลอิ่นแน่!” ด้วยเหตุนี้ในโถงจึงได้ยินแต่เสียงคำรามก้องของเฉิงสื่อ ทั้งฟังแล้วยังมีเหตุผลยิ่ง
เซียวฮูหยินอับจนถ้อยคำ ถึงกับลืมไปว่าตนเองจะพูดอันใด
ความจริงด้วยเป็นคนทำงานเก่งเจนจัด นางมีหรือจะไม่ระวังในจุดนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าองครักษ์หญิงประจำตัวนางที่แตกฉานการเยียวยาแผลภายนอกผู้นั้นได้ยืนยันแล้วว่าแผลไม่เป็นอันใดใหญ่โต ก่อนหน้าจะส่งเฉิงเซ่าซางกลับจวนยังพาแวะไปร้านหมอที่เชื่อถือได้ ทั้งหมอก็พูดว่าพอหายดีแล้วบนใบหน้าจะไม่ทิ้งรอยแผลเป็น
สำหรับส่วนที่อยู่ใต้ร่มผ้า…อาจู้ก็ได้มารายงานแต่แรกแล้ว
ซังซื่อก้มหน้ากลั้นยิ้ม เฉิงจื่อค้อนภรรยาหนึ่งขวับ เขาก็บอกแต่แรกแล้วว่ามีพี่ใหญ่อยู่ หลานสาวมีหรือจะเสียเปรียบ!
เซียวฮูหยินไม่ไปสนใจหัวข้อที่สามีกำลังพาหลงประเด็น นางปรับอารมณ์เสร็จก็ถามบุตรสาวตรงๆ “เซ่าซาง แม่ถามเจ้า วันนี้เจ้ารู้ผิดหรือไม่”
“…ถูกตีจนเป็นเยี่ยงนี้แล้ว เจ้ายังจะเอาผิดนาง?”
“ลูกรู้ผิดเจ้าค่ะ”
เฉิงสื่อกับเฉิงเซ่าซางเปล่งเสียงโดยพร้อมเพรียง จากนั้นสองพ่อลูกก็เบิกตามองกัน
เซียวฮูหยินปวดหัวยิ่ง ทุ่มแรงผลักสามีออกห่าง เป็นการสั่งให้เขาหุบปาก เสร็จแล้วนางค่อยเอ่ยต่อ “ดี เซ่าซาง เช่นนั้นเจ้าว่ามา เจ้าผิดตรงที่ใด”
เฉิงเซ่าซางเงยหน้ายืดอกตอบ “ไม่ว่าผู้อื่นจะฉีกหน้าลบหลู่ลูกเช่นไร ลูกล้วนไม่ควรลงไม้ลงมือ ท่านพ่อท่านแม่วางใจได้ ต่อไปเว้นแต่ตอบโต้กลับ ลูกจะไม่ต่อยตีกับผู้อื่นอีกเจ้าค่ะ”
ด้วยคาดไม่ถึงว่าบุตรสาวจะรับผิดอย่างเฉียบขาดเช่นนี้ เซียวฮูหยินจึงลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าว “เช่นนั้นเจ้าตั้งใจจะแก้ไขอย่างไร”
“แก้ไขอย่างไร…” เฉิงเซ่าซางเบ้ปาก “ไม่ต้องแก้แล้วกระมังเจ้าคะ ไหนๆ ต่อไปลูกก็น่าจะไม่ค่อยไปมาหาสู่กับพวกนาง คงเจอกันอีกไม่กี่หน มีไมตรีผิวเผินแค่เพียงผงกศีรษะทักทายกันก็พอ”
ผู้คนในโถงต่างตะลึงงัน เซียวฮูหยินขมวดคิ้วถาม “วาจานี้เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
เฉิงเซ่าซางอยากจะเปิดใจกับบิดามารดาเรื่องอนาคตนานแล้ว ตอนนี้โอกาสเหมาะเจาะ นางจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ด้วยชาติตระกูลของสกุลอิ่น วันหน้าพี่สวี่เอ๋อต้องแต่งเข้าวงศ์ตระกูลที่ทัดเทียมกันในเมืองหลวง ส่วนลูกหากมิใช่กลับชนบท ก็คือแต่งเข้าตระกูลผู้มีความรู้ในป่าเขา ต่อไปยังจะพบหน้ากันอีกสักกี่หน”
กล่าวง่ายๆ ว่าตระกูลสามีในอนาคตของนางหากมิใช่แบบสกุลเก่อที่เป็นตระกูลใหญ่ในชนบท มีเงินมีอำนาจมีบารมีในท้องถิ่นทว่าห่างไกลจากราชสำนัก ก็ต้องเป็นตระกูลคหบดีที่เพาะปลูกสุจริตและให้ความสำคัญกับการศึกษา หากมีผู้เล่าเรียนประสบผลสำเร็จ อาจไต่เต้าไปถึงระดับสกุลเดิมของซังซื่อ สามารถเขียนตำรานำเสนอหลักคิดของตนและเปิดภูเขารับศิษย์ ทว่าหากการเรียนธรรมดา…เช่นนั้นก็มีแต่ธรรมดาสามัญไปทั้งชีวิต
คำตอบนี้พอกล่าวออกมา เซียวฮูหยินเริ่มจากชะงักกึก ก่อนมองไปทางสามีเป็นอันดับแรก ใครจะรู้เฉิงสื่อก็มีสีหน้าแข็งค้างเช่นกัน ต่อเมื่อเห็นแววตาอันเจิดจ้าของภรรยามองมา จึงค่อยรีบโบกมือปฏิเสธ “ข้าไม่ได้พูดอันใดเลยนะ!” ตัวเขาเองก็ตกใจมาก เห็นกันอยู่ว่านี่เป็นคำพูดที่พวกเขาสามีภรรยาหารือกันเป็นส่วนตัว ไฉนบุตรสาวจึงล่วงรู้ได้เล่า!