ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 32
“พี่ใหญ่ ท่านหลุดปากพูดไปใช่หรือไม่” เฉิงจื่อหัวเราะซ้ำเติมเฉิงสื่อ
ดวงตาพิโรธของเฉิงสื่อถลึงกลับไปทันที “เจ้าเด็กนี่ หุบปากไปเสีย! ควรไม่ควรพูด ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ!”
เฉิงเซ่าซางเอ่ยเจืออารมณ์ยิ้มเยาะตนเอง “ที่แท้ท่านพ่อท่านแม่ก็ตั้งใจไว้เช่นเดียวกัน คิดเห็นไปในทางเดียวกันพอดีเลยเจ้าค่ะ” นางคิดแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
เซียวฮูหยินเบือนหน้าไปไม่พูดจา เฉิงสื่อกระอักกระอ่วนยิ่ง ส่วนเฉิงจื่อเพิ่งรู้ตัวว่าพลั้งปาก จึงไม่กล้าจะมองพี่ชายคนโต
มีเพียงซังซื่อที่เอ่ยด้วยถ้อยคำอันนุ่มนวล “เหนียวเหนี่ยว เจ้าทายออกได้อย่างไรหรือ” ขนบของผู้คนยุคนี้เปิดกว้าง มิได้ห้ามเด็กสาวเอ่ยกับญาติมิตรถึงความต้องการจะออกเรือน
“นี่มีอันใดทายยากหรือเจ้าคะ”
เฉิงเซ่าซางคลี่ยิ้มน้อยๆ “ปีหน้าข้าก็จะปักปิ่นแล้ว ท่านแม่วางแผนงานล่วงหน้าเสมอมา จะต้องคิดอ่านไว้แล้วเป็นแน่ ท่านแม่ไม่สอนข้าปลอบขวัญทหารใต้บังคับบัญชา ผูกใจคนในครอบครัวของพวกเขา นั่นเพราะวันหน้าตระกูลสามีของข้าจะไม่มีทหารบริวาร ท่านแม่ไม่สอนข้าเกี่ยวกับลำดับสายตระกูลและธรรมเนียมการคบค้าของชนชั้นสูง นั่นเพราะวันหน้าข้าจะไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนเหล่านี้ พักนี้ท่านแม่กลับหยิบสมุดบัญชีของเรือนสวนมาให้ข้าดูหลายม้วน ยังนำผู้ดูแลสองสามคนมาชี้แจงงานในเรือกสวนไร่นากับข้าด้วย เรื่องอ่านตำราเขียนอักษรก็ยังคงกวดขันข้าโดยตลอด…ทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อการนี้หรอกหรือ”
ฟังเด็กสาวร่ายยาวจนจบ สามีภรรยาสองคู่ในโถงต่างมองหน้ากันไปมา ผ่านไปเนิ่นนานเห็นพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ล้วนเงียบงัน เฉิงจื่อจึงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เหนียวเหนี่ยว เช่นนั้นเจ้ารู้สึกว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
เฉิงเซ่าซางตอบอย่างผ่อนคลาย “ข้ารู้สึกว่าความคิดนี้ของท่านพ่อท่านแม่ดียิ่งเจ้าค่ะ” อันที่จริงนางเคยขบคิดปัญหาข้อนี้นานแล้ว แน่นอนว่านางพิจารณาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนการดำเนินงานในอนาคต
เฉิงสื่ออึกอัก อยากจะบอกเหลือเกินว่า ‘นี่ไม่ใช่ความคิดของพ่อนะ’ แต่ในที่สุดก็ยังคงข่มกลั้นไว้
ไม่คาดเฉิงเซ่าซางกลับมีสีหน้าจริงจัง เอ่ยกับเฉิงสื่ออย่างเป็นการเป็นงาน “ท่านพ่อ ท่านรู้จักลูกดี รู้ว่าลูกไม่ยอมเสียเปรียบใคร ทั้งชอบคิดการใหญ่ ภายหน้าตอนที่ท่านเลือกคู่ครองให้ลูก ต้องดูอุปนิสัยของคนทั้งบ้านเลยนะเจ้าคะ เลือกที่อารมณ์เย็นโอนอ่อนผ่อนตาม อย่าได้มายุ่มย่ามมัดมือมัดเท้าลูกเชียว หาไม่ลูกได้ตีกับผู้อื่นหัวร้างข้างแตกแน่! วันข้างหน้าจะใช้ชีวิตอย่างไร ลูกมีความคิดของลูกเองเจ้าค่ะ”
เมื่อมีความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับทรัพย์สินที่มั่นคง นางก็จะอยู่ในเรือนสวนทำการทดลองความคิดของตนได้ดังใจหวัง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือเกษตร พันธุ์พืช หรือสินค้าฟุ่มเฟือย ให้เวลานางห้าปี นางมีความมั่นใจว่าจะทำให้ฐานะการเงินของทางบ้านพลิกโฉมครั้งใหญ่
ไหนๆ นางก็รำคาญที่จะพบเจอแม่นางน้อยปากพล่อยกลุ่มนั้น อยู่ว่างรู้จักแต่พูดไร้แก่นสาร ไม่ใช่เอ่ยถึงดอกไม้แซมผม ก็ต้องเอ่ยถึงอาภรณ์ เครื่องประดับ แป้งชาด ของว่าง แล้วก็ชายหนุ่ม ไม่สร้างสรรค์เลยสักนิด หากหวังพึ่งพาพวกนาง ความปรารถนาที่จะเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่งแข็งแกร่งจะเป็นจริงไปได้อย่างไรกัน!
ถ้อยคำเอ่ยมาถึงตรงนี้ ดูเหมือนอันใดก็ล้วนไม่ต้องพูดแล้ว เห็นสีหน้าแน่ใจของบุตรสาว ในใจเซียวฮูหยินก็อัดอั้นอย่างรุนแรง
นางรู้สึกว่าบุตรชายสี่คนรวมกันยังทำให้นางโมโหได้ไม่เท่าบุตรสาวคนเดียวนี้เลย ปัญหาคือหากเฉิงเซ่าซางพูดผิดนางย่อมโกรธ ทว่าเมื่อเฉิงเซ่าซางพูดถูกทั้งหมดนางก็ยังคงโกรธ ซ้ำไม่รู้ด้วยว่าตนเองกำลังโกรธอันใดอยู่
“เช่นนั้นหากแม่ให้เจ้าไปขออภัยแม่นางอิ่นเล่า” เซียวฮูหยินสองมือค้ำยันหน้าตักพลางโพล่งถามขึ้น
“ลูกไม่ไปเจ้าค่ะ” เฉิงเซ่าซางตอบอย่างกระชับชัดเจน “อิ่นสวี่เอ๋อพูดจาทำร้ายคน ถูกตีก็สมควรแล้ว จริงอยู่ว่าลูกไม่ควรลงมือก่อน อย่างมากต่อไปลูกคอยหลบเลี่ยงนางก็แล้วกัน แต่หากนางยังคงอุตส่าห์พาตัวมาชวนตี ก็ไม่อาจจะโทษลูกแล้ว!”
เห็นท่าทีพยศดื้อรั้นของบุตรสาว เซียวฮูหยินก็ยืนพรวดขึ้นเอ่ยเสียงเย็น “ขวัญกล้านัก! แม่จะดูซิว่าเจ้าจะรู้ผิดหรือไม่ องครักษ์…”
เสียงเรียกยังไม่ทันขาดคำ เฉิงหย่งสามพี่น้องที่เพิ่งรุดมาถึงโถงเก้าอาชาได้ยินเข้าพอดี จึงรีบพุ่งตัวเข้ามา เฉิงหย่งกับเฉิงซ่งกอดขาเซียวฮูหยินไว้คนละข้าง พากันพูดเสียงรัว
“ท่านแม่โปรดระงับโทสะ”
“เหนียวเหนี่ยวเพิ่งถูกต่อยตีมา จะโบยลงโทษนางซ้ำไม่ได้เชียว”
เฉิงเซ่ากงไม่มัวพูดพร่ำทำเพลง ฉุดดึงเฉิงเซ่าซางแล้วพาวิ่งไปเบื้องนอกทันที เซียวฮูหยินยังไม่ทันได้พูดสักประโยค คู่แฝดก็วิ่งหายไปดั่งควันสายหนึ่งแล้ว
เซียวฮูหยินโกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เตะบุตรชายเท้าละหนึ่งคน “จงไสหัวไปให้หมด! ใครบอกกันว่าข้าจะโบยนาง!”
เฉิงหย่งกับเฉิงซ่งตะลึงค้าง เมื่อครู่พวกเขาฟังจากที่เหลียนฝางเล่าความ ยังนึกว่าคับขันถึงขั้นไม้พลองกระทบร่างแล้วด้วยซ้ำ
เฉิงสื่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างตบไหล่บุตรชายสองคนก่อนพูดอย่างสบายอารมณ์ “วางใจได้ วันนี้ท่านแม่ของพวกเจ้าไม่ได้คิดจะโบยลงโทษเหนียวเหนี่ยวจริงๆ นางเพียงเรียกให้อาชิงเตรียมแผ่นไม้ไว้จำนวนหนึ่ง น่าจะลงโทษเหนียวเหนี่ยวคัดอักษรเท่านั้น”
เฉิงสื่อพูดพลางเหลือบมองภรรยา เซียวฮูหยินก็ขึงตากลับไปอย่างหัวเสีย
“พวกเจ้ายังไม่รีบไสหัวไป? รออยู่รับโทษหรือ!” เฉิงสื่อตะคอกใส่ บุตรชายสองคนก็ถอยออกจากโถงไปอย่างรีบร้อนลนลาน
เฉิงสื่อหันไปด้านข้าง มองน้องชายคนเล็กกับน้องสะใภ้ที่กลั้นหัวเราะจนไหล่สั่น ในใจพลันผุดความคิดหนึ่ง ทว่าตอนนี้เก็บเงียบไว้ก่อน ปากกล่าวเพียงว่า “พวกเจ้าสองคนยังอยากจะชมงิ้วอีกนานเท่าใด จงกลับไปเดี๋ยวนี้!”
ซังซื่อกลั้นหัวเราะ เดิมทีนางกลัวเฉิงเซ่าซางจะถูกเซียวฮูหยินลงโทษ อยากช่วยผ่อนคลายสถานการณ์บ้าง ใครจะรู้กลับได้ชมงิ้วสนุกหนึ่งฉาก ยามนี้งิ้วจบแล้ว นางจึงรีบสะกิดเรียกสามี คารวะกล่าวอำลา
ก่อนจะก้าวออกจากประตูโถง ซังซื่อพลันเหลียวกลับมากล่าว “เซ่าซางยังคงไร้เดียงสาเหลือเกิน”
ชั่วขณะเซียวฮูหยินกับเฉิงสื่อไม่อาจเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย ทว่าซังซื่อมิได้ชี้แจงเสริมก็ออกจากประตูไปกับเฉิงจื่อแล้ว
ในโถงเก้าอาชายามนี้คงเหลือเพียงสามีภรรยาสองคน