ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 33
สภาพของเฉิงเซ่าซางไม่สู้ดีจริงๆ ระดับความเปราะบางของร่างนี้เกินกว่าที่นางคาดคิดไว้ เพียงชั่วเวลาสั้นๆ นี้นางก็ถูกแช่เย็นจนปลายนิ้วจรดช่องอกราวกับจับตัวเป็นน้ำแข็งแล้ว โชคยังดีรถม้าของคุณชายตระกูลขุนนางไม่เพียงมีรูปลักษณ์อันงามหรู ในตัวรถยังมีครบทุกสิ่งอันพึงมี…โต๊ะหนังสือ โต๊ะข้าง โคมผนังหนังแพะ กระถางไฟใบเล็กที่ทำจากเหล็กกล้าไร้สนิมตกแต่งด้วยไม้ถง* ฉลุลายวิจิตร แม้แต่ผนังรถยังหุ้มด้วยผ้าต่วนแพรกำมะหยี่อันอ่อนนุ่มหนึ่งชั้น น่าเสียดายปลายนิ้วของเฉิงเซ่าซางแข็งทื่อไปแล้ว สัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อยถึงความรู้สึกอันนุ่มสบายนั้น
หยวนเซิ่นขมวดคิ้วมองนาง เด็กสาวตัวน้อยหนาวจนสั่นเทิ้ม ปุยหิมะบนจอนผมหลอมละลายพาให้เปียกชื้นนิดๆ เพียงแต่ดวงหน้าบวมจมูกเขียวจากการถูกชกต่อยทำให้มองไม่ออกว่าสีหน้านางเป็นเช่นไร
เขาขยับแขนอยากจะถอดเสื้อคลุมขนสัตว์บนร่างตนไปห่มกายนางยิ่งนัก ขณะรู้สึกว่าอาจเป็นการจาบจ้วงเกินไป ไม่คาดกลับเห็นนางจัดการกระตุกผ้าขนแกะผืนหนึ่งที่ปูบนผนังมากอดแนบอกแล้ว
หยวนเซิ่นอึ้งงัน คลายนิ้วมือที่จับเสื้อคลุมขนสัตว์อยู่ออก “เจ้าคิดจะไปที่ใดหรือ”
“ท่านแม่จะโบยข้า ข้าจึงหลบออกมา” เฉิงเซ่าซางเอ่ยหน้านิ่วพลางขยับเข้าใกล้กระถางไฟเท่าที่จะทำได้เพื่อรับไออุ่น “ใครจะรู้ว่าไม่ได้พกพาสิ่งใดออกมาเลย มิสู้กลับจวนไปยังดีเสียกว่า”
หยวนเซิ่นขมวดคิ้วกล่าว “อย่าเพิ่งกลับไปเลย พวกเรานั่งต่อสักพักเถิด” เห็นนางเป็นเช่นนี้เขาก็ทนไม่ไหวจริงๆ เดิมทีเขายังมีเรือนพักสองสามแห่งให้คนหลบซ่อนได้ เพียงแต่ทำเช่นนั้นไม่เหมาะสมแต่อย่างใด…
เฉิงเซ่าซางพยักหน้าทันที นางเองก็ต้องการจะขบคิดว่าก้าวถัดไปควรทำเช่นไรต่อ
หยวนเซิ่นฉวยง่ามเหล็กที่อยู่ข้างกระถางไฟมาเขี่ยถ่านช้าๆ “แผนยอมเจ็บตัวนี้ไม่เลวเลย ก่อนที่ข้าจะออกจากจวนสกุลอิ่น ได้ยินว่าแม่นางอิ่นไม่สบาย มิได้ปรากฏตัวในงานเลี้ยง” ความจริงเขาตั้งใจสืบข่าวมาเป็นพิเศษ
เฉิงเซ่าซางที่ค่อยยังชั่วขึ้นเสียทียืนกรานไม่ยอมรับ “แผนยอมเจ็บตัวอันใดกัน ข้าอายุน้อยวู่วามง่าย ทนถูกแม่นางอิ่นยั่วโทสะไม่ไหวจึงได้เสียกิริยา คุณชายหยวนโปรดระวังคำพูดด้วย”
หยวนเซิ่นวางง่ามเหล็กลง ลังเลชั่วครู่ค่อยหยิบป้านสุราไม้เคลือบเงาพวยบานลายนางแอ่นใบหนึ่งจากถุงอุ่นที่อยู่ด้านหลัง เขาขบคิดเล็กน้อยก่อนรินสุราข้าวที่ร้อนกรุ่นครึ่งถ้วยยื่นส่งให้เฉิงเซ่าซาง
เฉิงเซ่าซางหงุดหงิดกับท่าทีระมัดระวังของเขา นางใช้มือข้างหนึ่งกดผ้าขนแกะไว้ มืออีกข้างรับถ้วยสองหูใบนั้นมาแล้วบิดข้อมือดื่มหมดถ้วยในรวดเดียว ผู้เคยตั้งปณิธานเป็นอันธพาลหญิงจะดื่มสุราไม่เป็นได้อย่างไร ก่อนมัธยมต้นนางเคยลิ้มลองเบียร์ สุราเหลือง สุราขาว รวมถึงสุราองุ่นปลอมผสมน้ำตาลมาแล้ว สุราข้าวนิดเดียวเท่านี้ย่อมไม่ต้องเอ่ยถึง
“แค่กๆๆ…แค่ก…” เฉิงเซ่าซางไอโขลกอย่างหนัก ไอจนน้ำตาแทบจะเล็ดออกมา เอาเถิด นางลืมตัวไปอีกแล้ว
หยวนเซิ่นทั้งฉุนทั้งขัน ฝ่ามือกางออกแล้วกำแน่น ข่มใจไว้ไม่ไปลูบแผ่นหลังของเด็กสาว
“ในเมื่อรู้ว่าทำร้ายศัตรูหนึ่งพันจะบ่อนทำลายตนเองแปดร้อย* แล้วไยต้องใช้แผนชั้นเลวเยี่ยงนี้เล่า” เขาเอ่ยเสียงเบา “จริงอยู่แม่นางอิ่นผู้นั้นถูกตำหนิลงโทษ ทว่าเจ้าปลีกตัวโดยไม่สึกหรอได้หรือไร”
เฉิงเซ่าซางไอแทบเป็นแทบตาย ก่อนจะเงยหน้ายิ้มเยาะ “ ‘ปลีกตัวโดยไม่สึกหรอ’ เป็นถ้อยคำสำหรับผู้มีที่พึ่งพิงจึงจะกล่าวได้ คุณชายหยวนรู้สึกว่าข้าคล้ายเช่นนั้นหรือ” นางไม่เชื่อหรอกว่าคนที่เดินหนึ่งก้าวมองล่วงหน้าไปสามก้าวเฉกเช่นหยวนเซิ่นจะไม่เคยสืบสถานภาพของนาง
หยวนเซิ่นกลับเอ่ยเรียบๆ “ผู้คนในใต้หล้าใช่ว่าล้วนมีบุพการีญาติสนิท แต่ในเมื่อเกิดมาบนโลกนี้แล้วก็จะต้องทุ่มสุดกำลังใช้ชีวิตไปให้ดี”
เฉิงเซ่าซางอัดอั้นตันใจ…ชาติก่อนนางก็ใช้ชีวิตของนางอยู่ดีๆ ไม่ว่าจะเป็นอันธพาลหญิงหรือเป็นนักเรียนแถวหน้า ทุกวันนางล้วนพากเพียรเต็มที่ ยามที่เห็นอยู่ว่าอนาคตกำลังสดใส ใครจะรู้สวรรค์กลับส่งนางมาเริ่มต้นใหม่อีกรอบ!
หยวนเซิ่นเห็นนางไม่พูดจา จึงเอ่ยด้วยถ้อยคำอันอ่อนโยน “ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไปเถิด หนนี้ใช่ว่าผิดไปเสียทั้งหมด วันหน้าหากมิใช่ผู้ที่มีเรื่องบาดหมางกับสกุลเฉิง ก็คงจะไม่เจาะจงหาเรื่องเจ้าเป็นแน่”
เฉิงเซ่าซางกล้อมแกล้มผงกศีรษะค่อยเอ่ยถาม “จริงสิ ไฉนท่านมาอยู่หน้าประตูจวนข้าเล่า” จวนนางไม่ใช่ย่านการค้าเสียหน่อย ผู้ที่พำนักอยู่ซ้ายขวาไม่ใช่คหบดีก็เป็นผู้ที่เพิ่งจะรับตำแหน่งขุนนาง
นึกไม่ถึงว่าหยวนเซิ่นกลับไม่ตอบ ซ้ำเฉไฉไปเรื่องอื่น “ความจริง…วันนี้ข้ายังมีคำพูดจะบอกเจ้า เดิมทีมารดาข้าคิดว่าอีกสองวันจะเชิญสตรีในสกุลเฉิงไปชมดอกเหมยที่จวน ใครจะรู้เล่าว่า…”
“ชมดอกเหมย? มารดาของท่านไม่ไถ่ถามเรื่องทางโลกมิใช่หรือ” เฉิงเซ่าซางประหลาดใจยิ่ง
จะว่าไปหยวนฮูหยินก็นับเป็นเรื่องอัศจรรย์เรื่องหนึ่งในเมืองหลวง ทั้งที่เป็นถึงนายหญิงตราตั้งภรรยาของผู้ว่าการมณฑลขั้นหนึ่ง สกุลเดิมกับสกุลสามีก็ล้วนเป็นตระกูลขุนนางใหญ่ ทว่าไม่รู้เหตุใดจึงลั่นวาจาออกจากวงสังคมไปฝึกเต๋า ไม่พบแขกไม่เลี้ยงแขก กระทั่งงานเลี้ยงในวังก็ยังอ้างว่าป่วยไม่เข้าร่วม เว้นแต่ไม่มีทางเลือกจำเป็นต้องเข้าวังไปขอบพระทัยรับบำเหน็จเป็นครั้งคราวแล้ว ก็แทบจะไม่มีผู้ใดมีโอกาสได้พบเจอนางเลย ระดับความสันโดษเป็นรองเทพเซียนเหยียนยอดคนผู้ไม่ยึดติดทางโลกนั้นเพียงเล็กน้อย
เอ่ยเกินจริงสักหน่อยก็กล่าวได้ว่าการเชิญแขกคนนอกจัดเลี้ยงใหญ่ครั้งล่าสุดของจวนสกุลหยวนคืองานครบขวบของคุณชายใหญ่หยวนเซิ่น นานปีที่ผ่านมานอกจากงานเลี้ยงส่วนตัวขนาดเล็กเพื่อรับรองญาติมิตรประปรายแล้ว แม้กระทั่งพิธีครอบเกี้ยวของหยวนเซิ่นก็ยังจัดที่บ้านอาจารย์ของเขา
หยวนเซิ่นปั้นหน้าดุ “ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ เจ้าตัดบทขณะผู้อื่นพูดกับเจ้าได้อย่างไร” หลังจากขึงตาจนเฉิงเซ่าซางหน้าเจื่อนหุบปากไปแล้ว เขาค่อยเอ่ยต่อ “เดิมมารดาข้าจะเชิญมารดาเจ้าไปสังสรรค์ที่จวน ทว่าวันมะรืนฝ่าบาทจะเสด็จตรวจการหัวเมืองตะวันออก ทรงเรียกตัวเป็นการด่วนให้อาจารย์กับข้าตามเสด็จ จึงได้แต่รอข้ากลับมาก่อน” เขาสังเกตท่าทีตอบสนองของนาง ราวกับมองเรื่อยเปื่อยไปอย่างนั้นเอง
คาดไม่ถึงว่ากระบวนความคิดของเฉิงเซ่าซางจะแปลกไม่เหมือนใครยิ่ง “เอ๋? ท่านจะไปข้างนอกทางบ้านก็จัดเลี้ยงไม่ได้แล้ว? บ้านท่านตอนนี้ท่านเป็นคนคุมสินะ!”
เฉิงเซ่าซางกังขาอยู่ในใจ หรือว่าท่านพ่อเฉิงกรุยเส้นทางอนาคตไว้ดีเยี่ยมจนสกุลหยวนอยากมาคบหาด้วย? ขณะเดียวกันนางก็ชี้มือไปยังชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าสายตาพลางเอ่ยเย้า “ในเมื่อมารดาท่านไม่ชอบคุมเรือน เหตุใดท่านไม่รีบแต่งภรรยาแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่เกิดความไม่สะดวกเหล่านี้”
หยวนเซิ่นคิดในใจ…ไม่มีคนจัดการที่ใดกันเล่า วัยเด็กมีอาสะใภ้ในตระกูลช่วยดูแลงานเหล่านี้ เพียงแต่อาสะใภ้ผู้นั้นคุมเรือนไม่กี่ปีก็ลำพองใจขึ้นเรื่อยๆ มิเพียงมือไม้ไม่สะอาด ยังกล้าลอบสมคบกับสตรีตระกูลอื่น