ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 33
ภายหลังขับอาสะใภ้ผู้นั้นไปแล้ว เขาที่อายุยังน้อยจึงเริ่มดูแลงานในจวนเอง บ่มเพาะผู้ดูแลคนใหม่และกำหนดกฎระเบียบใหม่ อันที่จริงทั้งหมดนี้ไม่ยากนัก เพียงแต่เมื่อเขาค่อยๆ เผยประกายในราชสำนัก ส่งผลให้การคบค้าผูกสัมพันธ์มีความจำเป็นขึ้นทุกที จึงค่อยพบว่าไม่สะดวกจริงๆ เสียด้วย
หยวนเซิ่นทำเป็นขุ่นเคืองนิดๆ “เจ้านึกว่าแต่งภรรยาคือการซื้อผักหรือว่าเลือกแตงกันเล่า นั่นไม่ใช่แค่การผูกไมตรีระหว่างสองตระกูล วันหน้าภรรยาข้ายังจะเป็นนายหญิงใหญ่ของสกุลหยวนแห่งเจียวตง ย่อมต้องเป็นกุลสตรีที่สง่างาม สงสารผู้อ่อนแอเห็นใจผู้เฒ่าผู้แก่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงงานเซ่นไหว้ ต้อนรับแขก และเป็นผู้นำของเหล่าสะใภ้…”
เห็นแววช่างติเกลื่อนใบหน้าของเขา เฉิงเซ่าซางก็แย้งอยู่ในใจ…มารดาท่านก็เป็นนายหญิงใหญ่ อยู่ในเมืองหลวงยังปลีกวิเวกได้ตั้งสิบกว่าปี ฝึกเต๋าจนใกล้จะบรรลุเป็นเซียนแล้ว สกุลหยวนก็ยังดีอยู่ไม่ใช่หรือไร เพียงแต่นางก็แจ้งใจว่าหยวนฮูหยินเป็นเช่นนี้จะต้องมีสาเหตุที่เป็นความลับ หลายสิบปีก่อนใต้หล้าระส่ำระสายหนัก ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่
“ได้ คุณชายหยวนสูงส่งเลอเลิศ ภรรยาย่อมต้องเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้านี้ ท่านค่อยๆ เลือกไปเถิด” นางเอ่ยเสียงเรียบเย็น
หยวนเซิ่นขึงตาจ้องเฉิงเซ่าซางพลางเอ่ยเน้น “ที่สำคัญเป็นพิเศษคือต้องใจกว้างรู้จักโลก แยกแยะผิดถูกได้ชัดแจ้ง ห้ามทำเช่นเจ้าที่พอพูดคุยไม่ลงรอยก็ตะบันหมัดเข้าใส่ วันหน้าต่อยตีจนแขกเต็มจวนหนีหายจะทำเช่นไร”
แรกเริ่มเฉิงเซ่าซางหมายจะประชดกลับไป ทว่าต่อมารู้สึกตงิดๆ ว่าไม่ถูกต้อง…นี่ใช่คำหยอกเอินหรือไม่นะ
ไม่รอจนนางคิดได้กระจ่างและอ้าปากตอบ เสียงตะโกนเรียก “เซ่าซางๆ!” ก็ดังจากเบื้องนอกเข้ามาให้ได้ยินก่อน
นางตะลึงไปเล็กน้อยค่อยจำแนกเสียงนั้นออก จึงพูดโพล่งอย่างห้ามไม่อยู่ “เป็นพี่รองของข้า!”
คิดว่าเฉิงซ่งมาตามหานาง จะต้องเป็นเพราะเรื่องในบ้านมีบทสรุปแล้ว เฉิงเซ่าซางจึงหน้าบานตะลีตะลานปีนออกจากรถม้าเองโดยไม่รอให้หยวนเซิ่นตอบสนอง เห็นฝูเติงที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้างมีแววยินดีฉาบทั่วใบหน้าเช่นกัน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะทำอย่างไรกับคุณหนูที่หนีออกจากบ้าน ยามนี้จึงรีบร้องตอบกลับเสียงดัง “คุณชายรอง พวกเราอยู่ตรงนี้ขอรับ!” จากนั้นก็เรียกให้ผู้บังคับรถม้าหยุดรถ
ครั้นสองเท้าของเฉิงเซ่าซางสัมผัสพื้นอย่างมั่นคง นางก็หันกลับไปคลี่ยิ้ม ย่อเข่าคารวะหยวนเซิ่นที่ยื่นร่างออกมาจากตัวรถ “ขอบคุณคุณชายยิ่งนักที่ช่วยเหลือ หาไม่รอจนยามที่พี่รองมาตามหาข้า ข้าคงแข็งตายไปก่อนแล้ว!”
จบคำนางก็หันหน้าจะออกเดิน ทว่าหยวนเซิ่นร้องเรียกนางไว้ ฉวยกระปุกหยกขาวใบเล็กจากอกเสื้อ ส่งมาถึงมือเฉิงเซ่าซางแล้วเอ่ยเสียงเบา “นี่เป็นยาขี้ผึ้งหยกม่วงที่หมอยาในจวนเป็นผู้ปรุงขึ้น เจ้า…ทาตรงที่เป็นแผลนะ”
คราวนี้ไม่รอให้เด็กสาวเอ่ยลา หยวนเซิ่นสั่งเบาๆ คำเดียว ผู้บังคับรถผู้นั้นก็กระตุ้นม้าแล่นรถจากไป
เฉิงเซ่าซางยืนตะลึงอยู่กับที่ สองมือประคองกระปุกหยกขาวใบนั้นไว้ ด้านบนยังคงกรุ่นไออุ่นจากร่างของเขา ดังนั้น…ความจริงแล้วเขาตั้งใจมาเตร็ดเตร่อยู่แถวจวนสกุลเฉิงก็เพื่อจะมอบยารักษาแผลให้นาง และแวะกล่าวอำลาไปต่างเมือง?
ไม่ทันไรเฉิงซ่งก็รุดมาตามเสียงร้องบอกของฝูเติงแล้ว
ครั้นเฉิงเซ่าซางหันหน้าไปมอง คิ้วตานางก็พลันอาบไปด้วยรอยยิ้ม ยังคงเป็นพี่น้องของนางที่เชื่อถือได้ ที่แท้เฉิงซ่งจงใจไม่ขี่ม้า บังคับรถม้าขนาดกะทัดรัดคันหนึ่งออกมาเป็นพิเศษ
“เด็กโง่! อากาศหนาวเยี่ยงนี้ เจ้าสวมเสื้อบางๆ ก็ยังอุตส่าห์ออกมา ไม่สู้กลับบ้านไปถูกท่านแม่โบยยกหนึ่งยังดีเสียกว่า!” เฉิงซ่งทางหนึ่งอบรมน้องสาวเสียงดัง แค้นใจที่เหล็กมิอาจกลายเป็นเหล็กกล้า อีกทางหนึ่งก็หอบเสื้อนอกขนเตียวของเฉิงเซ่ากงลงจากรถม้ามาห่มร่างให้เฉิงเซ่าซาง ก่อนหันไปสั่งผู้ติดตามที่อยู่ข้างรถ “เจ้าจงไปตามหาคุณชายใหญ่กับคุณชายสาม บอกว่าข้าหาคุณหนูพบแล้ว ให้พวกเขาวางใจกลับจวนไปเถิด”
“อาเติง เจ้าก็ทึ่มนัก คุณหนูขี่ม้าไม่เป็น เจ้าไม่รู้หรือไร!” เฉิงซ่งตีหนึ่งฝ่ามือบนหลังของฝูเติง เอ่ยจบค่อยถามด้วยความแปลกใจ “คุณหนูขี่ม้าไม่เป็น แล้วพวกเจ้าสองคนออกมาไกลเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” เขามองพิจารณาสีหน้าของน้องสาวขึ้นลง ดูไม่คล้ายอาการคนที่ถูกแช่แข็งจนแย่แล้วเลย
ฝูเติงเผยอริมฝีปาก ทว่าไม่กล้าพูดจา ทำเพียงเหลือบมองคุณหนูของตน
เฉิงเซ่าซางคลี่ยิ้มขณะคลุมเสื้อนอก ฉวยจังหวะพลิกมือสอดกระปุกหยกขาวใบนั้นเข้าอกเสื้อ ก่อนตอบด้วยสีหน้าไม่อินังขังขอบ “ออกจากประตูบ้านมาไม่นานข้าก็เจอรถม้าของคุณชายซั่นเจี้ยน คุณชายซั่นเจี้ยนเจตนาดีให้ข้านั่งรถชั่วระยะทางหนึ่ง…หากพี่รองไม่เชื่อ ถามอาเติงได้ นี่เป็นความจริง!”
เฉิงซ่งหันหน้าไป เห็นฝูเติงรีบผงกศีรษะขานรับ ในใจก็ให้ฉงน “คุณชายซั่นเจี้ยนมีน้ำใจเพียงนี้เชียว?”
เฉิงเซ่าซางสวมเสื้อนอกเสร็จก็เริ่มปีนขึ้นรถม้า “ผู้อื่นเจตนาดี พี่รองยังจะคลางแคลง ท่านว่าเขามุ่งหวังอันใดจากพวกเราสกุลเฉิงเล่า หรือว่ามุ่งหวังในรูปโฉมของข้า?” นางชี้ไปที่ใบหน้าของตนเองซึ่งบวมฉึ่งดุจหัวหมู “ไม่เช่นนั้น ท่านไปบอกกับทุกคนแล้วกัน”
“ช่างเถิด! เรื่องนี้อย่าให้ท่านแม่รู้จะเป็นการดีกว่า” เพียงนึกถึงศึกใหญ่ระหว่างคู่มารดากับบุตรสาว เฉิงซ่งก็ปวดหัวจี๊ด บ้านผู้อื่นมีแม่เสือแค่ตัวเดียว บ้านเขากลับมีถึงสองตัว เมื่อใดปะเหมาะเกิดเรื่อง ถ้อยคำเพียงสะกิดก็เป็นอันต้องปะทะหนักหนึ่งหน
ในเมื่อไม่อาจให้มารดาล่วงรู้ เช่นนั้นก็อย่าบอกผู้ใหญ่ท่านอื่นๆ ด้วยจะดีที่สุด เฉิงซ่งคิดแล้วตัดสินใจจะบอกเพียงพี่ใหญ่เฉิงหย่งผู้ปิดปากสนิทคนเดียว
เฉิงเซ่าซางปีนขึ้นไปถึงตำแหน่งของผู้บังคับรถแล้วถามด้วยน้ำเสียงประจบ “พี่รอง ท่านแม่หายเคืองแล้วกระมัง พวกเรากลับบ้านกันเถิด”
เฉิงซ่งย้อนถามโดยไม่สนใจคำถามของน้องสาว “เจ้านั่งรถม้าสกุลหยวน เดิมทีคิดจะไปที่ใดเล่า”
“ไปย่านเต๋อฮุยหาร้านอาหารสักร้าน กินไปพลางรอดูไปพลาง ไม่แน่หากท่านแม่เห็นข้าหนีหาย อาจจะไม่โบยข้าแล้ว”
เฉิงซ่งเหลือกตา “วางใจเถอะ เดิมทีท่านแม่ก็ไม่ได้คิดจะโบยเจ้า หนนี้นางแค่จะลงโทษเจ้าคัดอักษร!”
เฉิงเซ่าซางอับจนถ้อยคำ หัวหน้าเซียวเป็นตายไม่ยอมเลิกราจริงๆ นางถอนหายใจก่อนกล่าว “ก็ได้ เช่นนั้นกลับไปคัดอักษร…”
“ยังจะคัดอันใดอีก” ไม่คาดเฉิงซ่งกลับสะบัดแส้ออกรถม้า “พี่ใหญ่ไปแอบดูทางน้าชิงแล้ว ท่านแม่ให้เตรียมแผ่นไม้ไว้ตั้งหลายร้อยแผ่น ทุกแผ่นล้วนใหญ่เท่ากระถางดินเผา ขีดเส้นตารางถี่ยิบกว้างยาวช่องละครึ่งชุ่น จะให้เจ้าคัดให้หมดภายในสามวัน ซ้ำต้องคัดให้สวยด้วย ไม่เช่นนั้นอาจยังมีบทลงโทษอื่น!” พวกเขาพี่น้องก็ล้วนโตมาเช่นนี้
เฉิงเซ่าซางตระหนกจนหน้าถอดสี “เยอะเพียงนี้เชียว? ข้าคัดไม่หมดหรอก!” นี่คัดด้วยพู่กันนะ หนำซ้ำหากคัดไม่สวย เซียวฮูหยินยังจะล้างแผ่นไม้ ผึ่งแห้งแล้วส่งมาให้นางคัดใหม่ด้วย
“เช่นนั้นพวกเราทำอย่างไรดีเจ้าคะ” นางกระเถิบไปข้างกายพี่รองแล้วเอ่ยอย่างน่าสงสาร
เฉิงซ่งขึงตาใส่นางปราดหนึ่ง “ยังจะทำอย่างไรได้ ก็ไปหลบน่ะสิ ให้ท่านพ่อเกลี้ยกล่อมดูก่อน หลบพ้นช่วงไม่กี่วันนี้ไป ท่านแม่อาจผ่อนผันขยายเวลาให้เจ้าหลายวัน!”
“แล้วจะไปหลบที่ใดได้เล่า”
“จวนสกุลวั่น!”
* ‘สารภาพลงโทษสถานเบา…เข้าค่ายแรงงานขนอิฐ ต่อต้านลงโทษสถานหนัก…กลับบ้านไปขึ้นปีใหม่’ เป็นคำเสียดสีกระบวนการสอบสวนของตำรวจ โดยบอกผู้กระทำผิดว่าถ้าสารภาพจะได้รับโทษสถานเบา สุดท้ายโทษสถานเบาก็ยังคงต้องเข้าสถานกักกันไปใช้แรงงานหนัก ส่วนที่บอกว่าผู้ปากแข็งต่อต้านจะได้รับโทษสถานหนักนั้น กลับมักได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านเพราะตำรวจหาหลักฐานมาเอาผิดไม่ได้
** โหยวตุนจื่อ เป็นของกินเล่นริมทางแถบมณฑลเจียงซู มณฑลเจ้อเจียง และนครเซี่ยงไฮ้ เป็นการเทน้ำแป้งลงในทัพพีเหล็กราวหนึ่งในสามส่วน ใส่ไส้จนเต็มทัพพีแล้วราดน้ำแป้งคลุมด้านบน ทอดในน้ำมันจนแป้งเหลืองกรอบ มีสองชนิดหลักคือไส้หวานเป็นถั่วเขียวกวน ไส้เค็มเป็นหัวไช้เท้าขูด
* ไม้ถง (Paulownia fortunei หรือ Paulownia tomentosa) เป็นไม้ยืนต้นที่พบได้หลายภูมิภาคในประเทศจีน ใช้ทำยาได้ เนื้อไม้ทนชื้นไม่เปลี่ยนรูปแตกงอ และมีน้ำหนักเบาที่สุดชนิดหนึ่ง
* ทำร้ายศัตรูหนึ่งพันจะบ่อนทำลายตนเองแปดร้อย หมายถึงสูญเสียทั้งสองฝ่าย ในการรบฝ่ายที่สังหารข้าศึกได้มากกว่าดูเหนือกว่าก็จริง แต่ก็เสียกำลังคนไปไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 พ.ย. 65 เวลา 12.00 น.