บทที่ 34
ความเป็นจริงพิสูจน์ชัด เฉิงซ่งที่พูดจามีเหตุผลน่าฟัง ยามทำงานจริงกลับไม่แน่ว่าจะเชื่อถือได้เท่าไรนัก เฉิงเซ่าซางเข้าไปในตัวรถพร้อมความคาดหวังเอ่อล้นหัวใจ แต่กลับพบว่าข้างในถึงกับไม่มีกระถางไฟด้วยซ้ำ
ในฤดูเหมันต์อันหนาวจัดนี้ ตัวรถที่ไม่มีกระถางไฟก็ไม่ต่างกับห้องมืดอันชวนหดหู่และเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ไร้ประโยชน์อื่นใดนอกจากกำบังสายลมเท่านั้น ในที่สุดเฉิงเซ่าซางก็พบพรมสักหลาดขนหยาบผืนหนึ่งที่กระดานรถด้านล่างจึงรีบดึงมาห่มกาย เนื้อตัวสั่นเทาพลางสำนึกเสียใจที่เมื่อครู่ไม่ได้ฉวยกระถางไฟกับผ้าขนแกะของหยวนเซิ่นติดมือมา
เฉิงซ่งได้ยินน้องสาวจามอยู่ด้านหลังก็แสนจะกระสับกระส่าย แล่นรถอย่างรีบเร่งยิ่งกว่าเดิม ยังดีจวนสกุลวั่นกับสกุลเฉิงไม่นับว่าไกลกัน กระตุ้นม้าอย่างหนักครู่หนึ่งก็แลเห็นประตูใหญ่จวนสกุลวั่นในระยะใกล้แล้ว เฉิงซ่งหันขวับเอ่ยไปทางตัวรถด้วยความยินดี “เหนียวเหนี่ยวไม่ต้องร้อนใจ ถึงแล้วล่ะ ถึงแล้ว!”
เฉิงเซ่าซางถูกแช่เย็นจนน้ำมูกไหล ฟังจบก็รีบผลักเปิดประตูรถ ท่ามกลางลมหนาวหวีดหวิวที่ทะลักเข้ามา นางเห็นหน้าประตูใหญ่จวนสกุลวั่นรายล้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่ง ท่านลุงพุงพลุ้ยใบหน้าแดงด้วยฤทธิ์สุราที่ถูกห้อมล้อมอยู่ตรงกลางผู้นั้นก็คือวั่นซงไป่ ดูเหมือนจะกำลังส่งแขก
ยามนี้ดวงตะวันลาลับแล้ว ขอบฟ้าขลิบด้วยแสงอัสดงรำไร สีสันแห่งสนธยากำลังเข้มข้นขึ้นทุกขณะ กลุ่มคนหน้าประตูจวนสกุลวั่นถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายอย่างเด่นชัดราวสัญลักษณ์ไท่จี๋* สีขาวดำกลางแผนภูมิแปดทิศ ฝ่ายที่ชุดแต่งกายหลากสีสดใสใบหน้าประดับยิ้มนั้นย่อมเป็นบ่าวผู้ติดตามของสกุลวั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนอีกฝ่ายที่มีกันสิบกว่าคนล้วนเป็นองครักษ์ร่างกำยำในชุดดำเกราะดำ แต่ละคนแขนคล้องหน้าไม้คันธนู เอวพกกระบี่หนัก หางเกาทัณฑ์ขนนกบนแผ่นหลังเป็นสีขาวหิมะ สอดรับกับสภาพอากาศอันยะเยือกเสียดกระดูก และตรงกับคำว่า ‘ประกายหนาวพราวชุดเหล็ก’ โดยแท้
ครั้นพวกเขาเห็นรถม้าคันหนึ่งพุ่งตัวมาทางนี้อย่างรีบร้อน เสียงเช้งๆ หลายหนก็ดังขึ้นทันใด เหล่าองครักษ์เกราะดำต่างกดข้างเอว เผยคมอาวุธอันเยียบเย็นปานดาบน้ำแข็งออกมากึ่งหนึ่งโดยพร้อมเพรียง ตั้งรับด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม องครักษ์หนุ่มน้อยคางเหลี่ยมผู้หนึ่งสืบเท้าขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว ก่อนตวาดถามเสียงกร้าว “ผู้มาเป็นใคร!”
เฉิงซ่งผวาวูบ ออกแรงรั้งสายบังเหียนสุดตัวพร้อมกับตะโกนก้อง “ท่านลุงวั่น เป็นข้าเอง! ข้าเองขอรับ!”
รถม้าเอียงโคลงระลอกหนึ่ง เฉิงเซ่าซางขวัญกระเจิง นึกว่าตนกำลังจะประสบอุบัติเหตุทางรถในยุคโบราณจึงฟุบเกาะโครงรถไว้แน่นไม่ปล่อยมือ
วั่นซงไป่ตระหนกจนอาการเมาสุราสร่างลงกว่าครึ่งทันที รีบโบกมือร้องห้ามเสียงดัง “นี่ๆๆ! คือว่าไม่ใช่…ไม่นะ เอ่อนั่น ใต้เท้าหลิง…นั่นเป็นคนกันเอง เป็นหลานชายหลานสาวข้าเอง…อย่าลงมือนะ อย่าลงมือเชียว…”
ตอนนี้กลุ่มองครักษ์ชุดดำเกราะดำจึงเปิดทางตรงกลางออก เผยให้เห็นชายหนุ่มในชุดชวีจวียาวสีดำผู้หนึ่ง รูปร่างของเขาสูงสง่ายิ่งยวด ห่มทับเสื้อคลุมขนสัตว์สีดำ กลัดด้วยหยกสีนิลประดับเกลียวไหมสีทองอ่อน สองแขนรัดสนับแขนเลี่ยมทองที่แลดูหนักอึ้ง
เขาคล้ายปรายมองมาทางเฉิงเซ่าซางปราดหนึ่ง จากนั้นเบี่ยงกายเล็กน้อย ประสานมือให้วั่นซงไป่ก่อนกล่าว “วันนี้ท่านเมาสุราแล้ว วันหลังข้าค่อยมาเยี่ยมคารวะใหม่” กล่าวอำลาจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไป
ไม่ไกลนักมีรถม้าขนาดใหญ่สีดำสนิทตลอดคันจอดนิ่งอยู่คันหนึ่ง โครงรถเป็นไม้เคลือบเงาจนดำขลับ เทียมด้วยอาชาสูงใหญ่สีดำสองตัวซึ่งมีกีบเท้าทั้งสี่เป็นสีขาวดั่งหิมะ แม้แต่บังเหียนก็เป็นเหล็กสีดำสนิท ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นรถม้าเพียงยกแขนขวาขึ้นหนึ่งหน องครักษ์เกราะดำรอบทิศก็เก็บกระบี่พร้อมกัน ขึ้นม้าห้อมล้อมติดตามรถที่มีขนาดใหญ่เป็นสามเท่าของรถม้าสกุลเฉิงคันนั้นไป
พี่ชายน้องสาวสกุลเฉิงตกใจกันแทบตาย ชั่วขณะไม่อาจขยับเขยื้อนได้ โดยเฉพาะเฉิงเซ่าซางราวถูกเชื่อมติดกับรถม้าไปแล้ว
วั่นซงไป่มองส่งจนรถม้าสีดำแล่นไปไกลค่อยรีบเดินมากล่าว “พวกเจ้าสองคนมาได้อย่างไรกัน โอ๊ะ เหนียวเหนี่ยว หน้าเจ้าเป็นอะไร…ฮ่าๆ ฮ่าๆๆ เป็นแม่เจ้าแน่ๆ ที่ตีเจ้า ไม่ต้องกลัวนะ ไว้ลุงจะไปพูดกับน้องเฉิงให้…”
เฉิงซ่งขวัญหนีดีฝ่อ พยุงน้องสาวลงจากรถด้วยมือที่สั่นสะท้าน ครั้นฟังมาถึงตรงนี้ก็รีบท้วงติงเสียงดัง “ท่านลุง ท่านเอาอีกแล้วนะ! อย่าเห็นพวกเรามีแผลก็เหมารวมว่าเป็นท่านแม่ตีสิ!”
เฉิงเซ่าซางเองก็โมโหจนหายใจหอบถี่ “ต่อให้ท่านแม่เป็นคนตี พอเห็นท่านแม่ตีข้าแล้ว ท่านลุงดีใจเพียงนี้เชียวรึ!”
วั่นซงไป่พูดในอาการลิ้นแข็ง เห็นชัดว่าดื่มสุราที่สกุลอิ่นมาไม่น้อย ทว่าสมองยังไม่นับว่าเลอะเลือน เขาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “อย่าปากแข็งเลย ต่อให้หน้าเจ้าไม่ใช่แม่เจ้าเป็นคนตี วันนี้หลบมาที่นี่ก็ต้องเป็นเพราะนาง! เอาล่ะ! อย่ามัวยืนนิ่งอยู่เลย รีบเข้าจวนมาสิ เข้ามาเร็ว”