ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 34
บ่าวรับใช้สกุลวั่นมีจำนวนมาก ความยิ่งใหญ่ของการล้อมหน้าล้อมหลังนั้นเหนือกว่าสกุลเฉิงอย่างไม่อาจเทียบขั้นได้
พอ ‘หมวยสิบสาม’ แห่งสกุลวั่นได้ยินว่าเฉิงเซ่าซางมาเยือนก็หน้าชื่นตาบาน รีบออกมาต้อนรับขับสู้ ยามพบกันที่หน้าโถง เฉิงเซ่าซางพบว่าซ้ายขวาหน้าหลังของแม่นางน้อยชีชีถึงกับรายล้อมด้วยบ่าวยี่สิบกว่าคน…ด้านหน้าสี่คนถือโคมนำทาง ด้านหลังสี่คนประคองกล่องหุ้มแพรบรรจุเสื้อนอกกับผ้าคลุมไหล่ ซ้ายขวาแปดคนชูโคม ยังมีรอบนอกอีกหลายคนถือคบไฟ
เฉิงเซ่าซางอับจนถ้อยคำอยู่เป็นนาน ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าตนเองซอมซ่ออย่างบอกไม่ถูก ผู้อื่นเป็นคุณหนูผู้ยิ่งใหญ่ แค่ออกจากห้องเดินมาถึงหน้าโถง ระดับความเอิกเกริกก็ราวกับประมุขแผ่นดินออกตรวจการแล้ว ส่วนตนหนีออกจากบ้าน เรื่องใหญ่เช่นนี้สองมือกลับว่างเปล่า ประสบการณ์ตื้นเขินโดยแท้ นึกว่าพระสนมตำหนักตะวันออกปิ้งแผ่นแป้ง** ซ้ำปิ้งคราวเดียวสองแผ่น แผ่นหนึ่งฉาบน้ำตาล แผ่นหนึ่งโรยเกลือ ช่างฟุ้งเฟ้อเสียนี่กระไร
วั่นชีชีเป็นแม่นางผู้มีน้ำใสใจจริง เพียงประคองหัวหมูอ้วนของเฉิงเซ่าซางไว้แล้วพินิจซ้ายขวา ก็ให้บังเกิดอารมณ์เศร้าสลดอย่างห้ามไม่อยู่ จึงสั่งบ่าวประคองเฉิงเซ่าซางไปยังที่พักของตนทันที รอจนไปถึงเรือนที่มีแสงโคมสว่างไสว เฉิงเซ่าซางก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดที่พบว่ากำลังคนของหมวยสิบสามยังมีอีกถึงสามสี่สิบคน จากนั้นนางก็ได้รับการปรนนิบัติดูแลร่างกายอย่างเลิศหรูอลังการเป็นที่สุด
เริ่มจากคลายมวยผมออกมาสางใหม่ ใช้น้ำอุ่นแช่เท้า ประคบหัวเข่ากับนิ้วมือด้วยผ้าที่ร้อนกรุ่น ตามด้วยชโลมน้ำมันให้ผิวชุ่มชื้น อบเครื่องหอมแล้วผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า พอครบจบทุกขั้นตอนเฉิงเซ่าซางก็สบายตัวเสมือนหนึ่งได้เกิดใหม่อีกครา ระบายลมหายใจอย่างผ่อนคลาย ในใจนึกเสียดายว่าไฉนท่านลุงวั่นไม่ให้กำเนิดบุตรชายสักคน นางจะได้ให้ท่านพ่อเฉิงตบแต่งนางเข้าสกุลวั่นอย่างแน่นอน!
ในยุคนี้ขุนนางยังไม่ปรากฏระบบขั้นยศ โดยมากจึงใช้เบี้ยหวัดขุนนางเป็นตัวแบ่งแยกระดับสูงต่ำ ผู้ใดกันเล่าจะใช้ชีวิตโดยอาศัยเสบียงแค่ไม่กี่หู* นั้นจริงๆ! อย่างเช่นสกุลวั่นนี้เป็นตระกูลที่เรืองอำนาจในอำเภอสุยมาหลายชั่วคน เรือกสวนไร่นาครอบคลุมพื้นที่อำเภอถึงสองในสิบส่วน มองการณ์กันยาวๆ แล้ว บิดาของนางแม้มีโอกาสเลื่อนยศได้สูงกว่าท่านลุงวั่น ทว่าในปัจจุบันสกุลเฉิงไม่มีทางจะเปรียบความมั่งคั่งกับสกุลวั่นเป็นอันขาด
วั่นชีชียืนเท้าสะเอวอยู่ตรงกลาง ทางหนึ่งสาปแช่งให้อิ่นสวี่เอ๋อเป็นไข้ทรพิษผื่นขึ้นเต็มหน้ารักษาไม่หายตลอดไป อีกทางหนึ่งบัญชาการสาวใช้ให้มารายล้อมปรนนิบัติเฉิงเซ่าซางราวฝูงมดงาน รอจนเสร็จสิ้นทุกชั้นตอน เฉิงเซ่าซางโฉมใหม่ก็ถูกวั่นชีชีพาไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าวั่น
ระหว่างทางที่เดินไป เฉิงเซ่าซางใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ นางแจ้งใจว่านอกจากบ่าวรับใช้เก่าที่ถูกเซียวฮูหยินสะสางไปแล้วเหล่านั้น ใต้หล้าก็เหลือเพียงเก่อซื่อกับฮูหยินผู้เฒ่าวั่นผู้นี้ที่อาจค้นพบความผิดปกติของเฉิงเซ่าซาง สำหรับเก่อซื่อ อีกหลายปีค่อยพบกันใหม่ ตนย่อมไม่ต้องกังวลใจแล้ว ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าวั่น…ใครจะรู้เมื่อเฉิงเซ่าซางเข้าไปในเรือนฉือซินหลังใหม่ กลับถูกรูปโฉมของอีกฝ่ายทำให้สะดุ้งจนตัวโยนก่อน
ในห้องอวลด้วยกลิ่นหอมของตัวยา วั่นฮูหยินนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าหญิงชราผู้หนึ่ง กำลังปรนนิบัติอีกฝ่ายดื่มยาอยู่
เรือนผมของฮูหยินผู้เฒ่าวั่นขาวโพลนจนสิ้น กระนั้นเค้าโครงของใบหน้าทรงเมล็ดแตงยังคงแจ่มชัดยิ่งยวด จมูกโด่งกับริมฝีปากอิ่ม ตลอดจนช่วงเอวกับแผ่นหลังที่ยืดตรง ล้วนมองเห็นได้ถึงความงามสง่าในวัยสาว เพียงแต่…สองตาของนางลู่ตกเล็กน้อย ใต้หนังตาด้านขวาบุ๋มลึก ไม่มีลูกตาแล้วอย่างเห็นได้ชัด ซ้ำยังขาดใบหูซ้ายไปข้างหนึ่ง
ต่อให้แสงเทียนสว่างจ้า ใบหน้าของหญิงชราที่อยู่เบื้องหน้าสายตาก็ยังคงให้ความรู้สึกอันพิศวงอย่างบอกไม่ถูก โชคดียามนี้เฉิงเซ่าซางใบหน้าบวมช้ำยังไม่ทุเลา หาไม่ต้องถูกผู้อื่นมองแววตกตะลึงที่ปิดไม่มิดของนางออกแน่ นางจึงตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะพูดให้น้อยเป็นดี
ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นแต่งกายเรียบง่าย เครื่องประดับมุกมรกตล้วนมิได้ใช้ เนื้อผ้าเพียงขอให้นุ่มสบาย เรือนผมก็ใช้แค่ปิ่นไม้เกล้ามวยกลมธรรมดา ด้วยคำนึงถึงผู้บกพร่องการมองเห็น การตกแต่งในห้องจึงน้อยชิ้นทว่าประณีต จำพวกเตากำยานหรือชิ่ง** หยก ย่อมจะไม่ปรากฏที่นี่
เฉิงเซ่าซางคำนับทักทายฮูหยินผู้เฒ่าวั่นอย่างซื่อตรง
จากนั้นวั่นฮูหยินก็เหลียวหน้ามาเอ่ยปนยิ้ม “เซ่าซางมาแล้ว หนนี้มาอยู่หลายๆ วันนะ พี่สาวของชีชีออกเรือนไปกันหมด ตั้งแต่กลับมาเมืองหลวงชีชีจึงอยู่ว่างเบื่อหน่ายทั้งวัน พวกเจ้าพี่สาวน้องสาวอ่านตำราด้วยกันสิ คัดอักษรด้วยกัน…”
พอได้ยินคำว่า ‘คัดอักษร’ การตอบสนองแรกของเฉิงเซ่าซางคือมิสู้เอาแผ่นไม้ของเซียวฮูหยินมาคัดที่นี่เสียเลย ใครจะรู้วั่นชีชีกลับโวยวายขึ้นมาก่อน “คัดอักษรอันใดกันเล่า ลูกจะสอนเซ่าซางขี่ม้า! ยังมีอีกนะ ท่านแม่ ดูหน้าเซ่าซางสิ ล้วนเป็นเพราะเด็กแซ่อิ่นนั่น…”
“ชีชี ยังไม่ถอดบรรดา ‘ก้อนหิน’ บนร่างเจ้าออกอีก” ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นพลันเอ่ยปาก “นี่ก็ตกค่ำแล้ว เจ้ายังห้อย ‘ก้อนหิน’ ดังกรุ๊งกริ๊งทั้งตัวให้ใครดู ไม่ยักบ่นว่าหนัก”
วั่นฮูหยินหลุดเสียงคิกออกมา เฉิงเซ่าซางกลั้นหัวเราะไว้…จริงเสียด้วย ต่อให้อยู่ในบ้านหมวยสิบสามก็ยังแต่งกายหรูหราไม่เปลี่ยน ห่วงทองคำที่ห้อยอัญมณีราวตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นยังคงส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งกังวานใส ต่อให้เป็นคนตาบอดก็ไม่มีทางจะมองข้ามไปได้
วั่นชีชีแก้ต่างอย่างวางหน้าไม่สนิท “คือว่า…ท่านย่ายังไม่รู้ ตอนนี้ในเมืองหลวงนิยมการแต่งตัวเช่นนี้เจ้าค่ะ”
“ถ้าเจ้าหาแม่นางน้อยอีกคนที่แต่งตัวเช่นเจ้าออกมาให้ย่าได้ ย่าจะสั่งทำอัญมณีแบบนี้ให้เจ้าอีกชุด แต่หากหาออกมาไม่ได้ เจ้าก็กำนัลมันให้ย่าแล้วกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าวั่นเอ่ยเรียบๆ
วั่นชีชีเงื่องหงอยลงทันตา มองไปทางมารดาอย่างน่าสงสาร วั่นฮูหยินแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น พอดีตอนนี้แม่ทัพวั่นซงไป่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า เห็นชัดว่าเขาล้างเนื้อล้างตัวแล้วค่อยมา บนร่างจึงไม่ติดกลิ่นสุราแม้สักนิด
“เซ่าซาง จื่อฝูพี่รองเจ้ากลับไปแล้วนะ เรื่องราวลุงรู้ทั้งหมดแล้ว เจ้าก็อยู่ที่นี่หลายวันหน่อย ชั่วดีอย่างไรก็รอจนแม่เจ้าคลายโทสะก่อน”
เฉิงเซ่าซางรีบหมอบคำนับพลางกล่าวขอบคุณท่านลุงวั่น นางรู้สึกขอบคุณอาการบวมช้ำบนใบหน้าและศีรษะยิ่งนัก ตอนนี้กระทั่งแสร้งทำสีหน้าเกรงใจก็ไม่ต้องทำแล้ว ไหนๆ ก็ไม่มีใครมองออก