เฉิงเซ่าซางตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าไม่ควรเลย การขี่ม้าไม่ใช่ขี่จักรยานที่ต่อให้หยุดรถไม่อยู่ก็ยังใช้สองเท้าหยั่งพื้นได้ ความเสี่ยงในการขี่ม้าไม่ใช่น้อยๆ หากตนไม่อยากร่วงลงไปจนครึ่งชีวิตหลังไม่มีปัญญาจะดูแลตนเอง วันหน้ายามขี่ม้าก็จะต้องรอบคอบแล้วรอบคอบอีก
เนื่องจากสองเท้าลอยอยู่กลางอากาศ นางจึงได้แต่ใช้ต้นขาหนีบท้องม้าไว้แน่น ป้องกันมิให้ทรงตัวไม่อยู่ ยังดีม้าน้อยเพศเมียตัวนี้อุปนิสัยอ่อนโยน เจ้านายบนร่างมันไม่ขยับ มันก็หยุดยืนกับที่อย่างว่าง่าย เพียงเตะเท้าเป็นครั้งคราวแล้วพ่นลมหายใจสองหน
เฉิงเซ่าซางตัวแข็งทื่ออยู่บนอานม้าเป็นนาน ก่อนจะเอียงกายช้าๆ พยายามเหยียดเท้าซ้ายให้ถึงโกลนที่อยู่ด้านล่าง ตั้งใจจะลงจากม้าไปปรับสายหนังให้เรียบร้อยค่อยขึ้นขี่อีกครั้ง ทว่าเพิ่งจะเอนตัวถ่ายน้ำหนักไปครึ่งหนึ่ง นางพลันรู้สึกว่ารอบด้านเงียบสงัดผิดปกติ ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง นางก็ตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นโซมกาย หวิดจะร่วงตกม้าไปตรงๆ
บริเวณปากทางเข้าสนามฝึกม้า ไม่รู้มีคนกลุ่มหนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด องครักษ์สิบกว่าคนนั้นยังคงพกดาบกระบี่ แขนคล้องหน้าไม้คันธนู สะพายเกาทัณฑ์บนแผ่นหลัง เพียงแต่วันนี้พวกเขามิได้สวมชุดดำเกราะดำ หากแต่เป็นชุดสีขาวหิมะยาวถึงหัวเข่า ทับด้วยเกราะหนังสีน้ำตาล ยืนห้อมล้อม ‘ใต้เท้าหลิง’ ผู้นั้นอย่างสงบนิ่ง
ตามข้อมูลที่วั่นชีชีแนะนำอย่างไม่ครบถ้วนนัก คนผู้นี้มีนามว่า ‘หลิงปู้อี๋’ ชื่อรอง ‘จื่อเซิ่ง’ เป็นขุนนางคนสนิทของโอรสสวรรค์ หนึ่งในตำแหน่งงานของเขาคือรองผู้บัญชาการองครักษ์ตำหนักหลวง คุมค่ายทหารม้าฝ่ายซ้ายหน่วยองครักษ์ส่วนพระองค์ นอกจากนี้ยังเป็นนายกองหน่วยอาชาโผนหนึ่งในห้าหน่วยทหารทัพอุดร พ่วงตำแหน่งซื่อจงสามารถปฏิบัติหน้าที่ในเขตพระราชฐานชั้นในได้
สามารถจดจำชื่อตำแหน่งที่เรียกไม่คล่องเหล่านี้ได้ก็ทุ่มสุดชีวิตของวั่นชีชีแล้ว ตอนนั้นเฉิงเซ่าซางจึงกล่าวชื่นชมนางไปอย่างเต็มที่
วันนี้หลิงปู้อี๋สวมชุดชวีจวีแขนสอบสาบเสื้อเฉียง บนชุดยาวสีแดงเข้มดุจโลหิตนั้นทอลายปี้อั้น* อันซับซ้อนสีทองอ่อน ด้านนอกเป็นเสื้อคลุมแขนกว้างสีเดียวกันทับเฉียงๆ เผยให้เห็นแขนขวา ช่วงเอวรัดสายคาดพื้นดำทอลายทองกว้างห้านิ้วมือ พร้อมกับที่สายลมหอบฝุ่นทรายในสนาม อาภรณ์บนร่างของเขาก็โบกสะบัด ประหนึ่งสีเลือดม้วนเกลื่อนผืนฟ้า
เฉิงเซ่าซางไม่เคยเห็นบุรุษสวมใส่สีแดงเข้มปานอัคคีลุกไหม้เช่นนี้ จึงรู้สึกเพียงว่าท่ามกลางดินแดงทรายเหลืองอันมืดฟ้ามัวดินยิ่งขับเน้นให้ผิวพรรณของเขาขาวดุจหยก คิ้วตาอันหล่อเหลานั้นเป็นความงามที่สะท้านหัวใจอย่างลึกล้ำ
หลิงปู้อี๋ก้าวอย่างแช่มช้าออกจากกลุ่มองครักษ์ มุ่งมาหาเด็กสาวที่กึ่งห้อยอยู่บนหลังม้านั้นทีละก้าว
เฉิงเซ่าซางสุดแสนจะกระอักกระอ่วน
ยามนี้นางจะขึ้นก็ไม่ได้ จะลงก็ไม่ได้ ประกอบกับบรรยากาศรอบด้านแปลกพิกลยิ่ง ต่อให้นางมากด้วยไหวพริบ ชั่วครู่ชั่วยามนี้ก็ถึงกับไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
หลิงปู้อี๋เดินมาถึงเบื้องหน้าม้าแล้ว เฉิงเซ่าซางกำลังคิดว่าจะโอภาปราศรัยสองประโยคถูไถไปก่อน ให้บรรยากาศผ่อนคลายลงแล้วค่อยว่ากัน ใครจะรู้ชายหนุ่มรูปงามสูงโปร่งผู้นั้นกลับไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นมือขวามาช้อนประคองเอวอันแบบบางของนางไว้
เฉิงเซ่าซางเครียดเกร็งจนทั้งร่างแข็งทื่อ ได้แต่เบิกตามองฝ่ามือใหญ่อันเพรียวยาวขาวเกลี้ยงเกลาข้างนั้นกุมกระชับช่วงเอวของนางไปเกือบครึ่งซีกแล้ว ฟ้าเอยดินเอย ตอนนี้นางต้องการให้หัวหน้าเซียวเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับหลักจารีตอย่างเร่งด่วน นะ…นะ…นี่…นี่สอดคล้องกับหลักจารีตหรือ!
ไม่รอให้นางได้สติ หลิงปู้อี๋ก็ออกแรงเล็กน้อย ดันร่างนางที่ห้อยเอียงอยู่กลับขึ้นไปดังเดิม
เฉิงเซ่าซางนั่งตัวตรงทึ่มทื่ออยู่บนอานม้า วิญญาณยังไม่คืนร่าง กลับเห็นหลิงปู้อี๋ผู้นั้นก้มหน้าลงคลายสายหนังของโกลน ปรับความยาวไปพลางเปรยถามไปพลาง “เจ้าแซ่วั่น หรือว่าแซ่เฉิงเล่า”
สองมือของเฉิงเซ่าซางกุมสายบังเหียนแน่นขณะจับจ้องเรือนผมดำขลับของเขา สัญชาตญาณที่ยังไม่หยุดทำงานบอกนางว่าอย่าให้เขารู้ว่านางเป็นใครจะดีที่สุด นางจึงพยายามยิ้มตอบอย่างยากเย็น “วั่นและเฉิงสองสกุลพึ่งพากันดุจฟันกับริมฝีปาก คนรุ่นเยาว์นับถือกันเช่นพี่น้อง…”
หลิงปู้อี๋กล่าว “อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็แซ่เฉิง”
เฉิงเซ่าซาง “…”
พอหลิงปู้อี๋ปรับสายหนังข้างหนึ่งเรียบร้อย ก็ค่อยๆ อ้อมไปคลายสายหนังอีกข้างพลางถามขึ้นอีก “สกุลเฉิงมีพี่น้องบุรุษสามคน ต่างก็มีบุตรชายหญิง บิดาเจ้าคือท่านใดเล่า”
เฉิงเซ่าซางยังคงดิ้นรนเฮือกสุดท้าย เอ่ยตอบปนยิ้มแห้งๆ “พี่น้องแน่นแฟ้น บุตรชายหญิงไหนเลยมีแบ่งเขาแบ่งเรา…”
หลิงปู้อี๋กล่าว “อืม เช่นนั้นเจ้าก็คือบุตรสาวของแม่ทัพเฉิง”
เฉิงเซ่าซาง…แล้วท่านยังจะถามข้าเพื่ออันใดกัน!
สายหนังทั้งสองข้างปรับเสร็จแล้ว หลิงปู้อี๋เงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่เด็กสาวบนหลังม้า รูปร่างของเขาสูงยิ่ง ยืนอยู่บนพื้นก็ยังคงมองระดับเดียวกับดวงตาของนางได้ ครานี้ในที่สุดนางก็เห็นใบหน้าของเขาถนัดชัดเจน