ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 35 – หน้า 3 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย เล่ม 2 บทที่ 35

เฉิงเซ่าซางตระหนักได้อย่างลึกซึ้งว่าไม่ควรเลย การขี่ม้าไม่ใช่ขี่จักรยานที่ต่อให้หยุดรถไม่อยู่ก็ยังใช้สองเท้าหยั่งพื้นได้ ความเสี่ยงในการขี่ม้าไม่ใช่น้อยๆ หากตนไม่อยากร่วงลงไปจนครึ่งชีวิตหลังไม่มีปัญญาจะดูแลตนเอง วันหน้ายามขี่ม้าก็จะต้องรอบคอบแล้วรอบคอบอีก

เนื่องจากสองเท้าลอยอยู่กลางอากาศ นางจึงได้แต่ใช้ต้นขาหนีบท้องม้าไว้แน่น ป้องกันมิให้ทรงตัวไม่อยู่ ยังดีม้าน้อยเพศเมียตัวนี้อุปนิสัยอ่อนโยน เจ้านายบนร่างมันไม่ขยับ มันก็หยุดยืนกับที่อย่างว่าง่าย เพียงเตะเท้าเป็นครั้งคราวแล้วพ่นลมหายใจสองหน

เฉิงเซ่าซางตัวแข็งทื่ออยู่บนอานม้าเป็นนาน ก่อนจะเอียงกายช้าๆ พยายามเหยียดเท้าซ้ายให้ถึงโกลนที่อยู่ด้านล่าง ตั้งใจจะลงจากม้าไปปรับสายหนังให้เรียบร้อยค่อยขึ้นขี่อีกครั้ง ทว่าเพิ่งจะเอนตัวถ่ายน้ำหนักไปครึ่งหนึ่ง นางพลันรู้สึกว่ารอบด้านเงียบสงัดผิดปกติ ครั้นเงยหน้าขึ้นมอง นางก็ตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นโซมกาย หวิดจะร่วงตกม้าไปตรงๆ

บริเวณปากทางเข้าสนามฝึกม้า ไม่รู้มีคนกลุ่มหนึ่งมายืนอยู่ตั้งแต่เมื่อใด องครักษ์สิบกว่าคนนั้นยังคงพกดาบกระบี่ แขนคล้องหน้าไม้คันธนู สะพายเกาทัณฑ์บนแผ่นหลัง เพียงแต่วันนี้พวกเขามิได้สวมชุดดำเกราะดำ หากแต่เป็นชุดสีขาวหิมะยาวถึงหัวเข่า ทับด้วยเกราะหนังสีน้ำตาล ยืนห้อมล้อม ‘ใต้เท้าหลิง’ ผู้นั้นอย่างสงบนิ่ง

ตามข้อมูลที่วั่นชีชีแนะนำอย่างไม่ครบถ้วนนัก คนผู้นี้มีนามว่า ‘หลิงปู้อี๋’ ชื่อรอง ‘จื่อเซิ่ง’ เป็นขุนนางคนสนิทของโอรสสวรรค์ หนึ่งในตำแหน่งงานของเขาคือรองผู้บัญชาการองครักษ์ตำหนักหลวง คุมค่ายทหารม้าฝ่ายซ้ายหน่วยองครักษ์ส่วนพระองค์ นอกจากนี้ยังเป็นนายกองหน่วยอาชาโผนหนึ่งในห้าหน่วยทหารทัพอุดร พ่วงตำแหน่งซื่อจงสามารถปฏิบัติหน้าที่ในเขตพระราชฐานชั้นในได้

สามารถจดจำชื่อตำแหน่งที่เรียกไม่คล่องเหล่านี้ได้ก็ทุ่มสุดชีวิตของวั่นชีชีแล้ว ตอนนั้นเฉิงเซ่าซางจึงกล่าวชื่นชมนางไปอย่างเต็มที่

วันนี้หลิงปู้อี๋สวมชุดชวีจวีแขนสอบสาบเสื้อเฉียง บนชุดยาวสีแดงเข้มดุจโลหิตนั้นทอลายปี้อั้น* อันซับซ้อนสีทองอ่อน ด้านนอกเป็นเสื้อคลุมแขนกว้างสีเดียวกันทับเฉียงๆ เผยให้เห็นแขนขวา ช่วงเอวรัดสายคาดพื้นดำทอลายทองกว้างห้านิ้วมือ พร้อมกับที่สายลมหอบฝุ่นทรายในสนาม อาภรณ์บนร่างของเขาก็โบกสะบัด ประหนึ่งสีเลือดม้วนเกลื่อนผืนฟ้า

เฉิงเซ่าซางไม่เคยเห็นบุรุษสวมใส่สีแดงเข้มปานอัคคีลุกไหม้เช่นนี้ จึงรู้สึกเพียงว่าท่ามกลางดินแดงทรายเหลืองอันมืดฟ้ามัวดินยิ่งขับเน้นให้ผิวพรรณของเขาขาวดุจหยก คิ้วตาอันหล่อเหลานั้นเป็นความงามที่สะท้านหัวใจอย่างลึกล้ำ

หลิงปู้อี๋ก้าวอย่างแช่มช้าออกจากกลุ่มองครักษ์ มุ่งมาหาเด็กสาวที่กึ่งห้อยอยู่บนหลังม้านั้นทีละก้าว

เฉิงเซ่าซางสุดแสนจะกระอักกระอ่วน

ยามนี้นางจะขึ้นก็ไม่ได้ จะลงก็ไม่ได้ ประกอบกับบรรยากาศรอบด้านแปลกพิกลยิ่ง ต่อให้นางมากด้วยไหวพริบ ชั่วครู่ชั่วยามนี้ก็ถึงกับไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี

หลิงปู้อี๋เดินมาถึงเบื้องหน้าม้าแล้ว เฉิงเซ่าซางกำลังคิดว่าจะโอภาปราศรัยสองประโยคถูไถไปก่อน ให้บรรยากาศผ่อนคลายลงแล้วค่อยว่ากัน ใครจะรู้ชายหนุ่มรูปงามสูงโปร่งผู้นั้นกลับไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นมือขวามาช้อนประคองเอวอันแบบบางของนางไว้

เฉิงเซ่าซางเครียดเกร็งจนทั้งร่างแข็งทื่อ ได้แต่เบิกตามองฝ่ามือใหญ่อันเพรียวยาวขาวเกลี้ยงเกลาข้างนั้นกุมกระชับช่วงเอวของนางไปเกือบครึ่งซีกแล้ว ฟ้าเอยดินเอย ตอนนี้นางต้องการให้หัวหน้าเซียวเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับหลักจารีตอย่างเร่งด่วน นะ…นะ…นี่…นี่สอดคล้องกับหลักจารีตหรือ!

ไม่รอให้นางได้สติ หลิงปู้อี๋ก็ออกแรงเล็กน้อย ดันร่างนางที่ห้อยเอียงอยู่กลับขึ้นไปดังเดิม

เฉิงเซ่าซางนั่งตัวตรงทึ่มทื่ออยู่บนอานม้า วิญญาณยังไม่คืนร่าง กลับเห็นหลิงปู้อี๋ผู้นั้นก้มหน้าลงคลายสายหนังของโกลน ปรับความยาวไปพลางเปรยถามไปพลาง “เจ้าแซ่วั่น หรือว่าแซ่เฉิงเล่า”

สองมือของเฉิงเซ่าซางกุมสายบังเหียนแน่นขณะจับจ้องเรือนผมดำขลับของเขา สัญชาตญาณที่ยังไม่หยุดทำงานบอกนางว่าอย่าให้เขารู้ว่านางเป็นใครจะดีที่สุด นางจึงพยายามยิ้มตอบอย่างยากเย็น “วั่นและเฉิงสองสกุลพึ่งพากันดุจฟันกับริมฝีปาก คนรุ่นเยาว์นับถือกันเช่นพี่น้อง…”

หลิงปู้อี๋กล่าว “อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็แซ่เฉิง”

เฉิงเซ่าซาง “…”

พอหลิงปู้อี๋ปรับสายหนังข้างหนึ่งเรียบร้อย ก็ค่อยๆ อ้อมไปคลายสายหนังอีกข้างพลางถามขึ้นอีก “สกุลเฉิงมีพี่น้องบุรุษสามคน ต่างก็มีบุตรชายหญิง บิดาเจ้าคือท่านใดเล่า”

เฉิงเซ่าซางยังคงดิ้นรนเฮือกสุดท้าย เอ่ยตอบปนยิ้มแห้งๆ “พี่น้องแน่นแฟ้น บุตรชายหญิงไหนเลยมีแบ่งเขาแบ่งเรา…”

หลิงปู้อี๋กล่าว “อืม เช่นนั้นเจ้าก็คือบุตรสาวของแม่ทัพเฉิง”

เฉิงเซ่าซาง…แล้วท่านยังจะถามข้าเพื่ออันใดกัน!

สายหนังทั้งสองข้างปรับเสร็จแล้ว หลิงปู้อี๋เงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่เด็กสาวบนหลังม้า รูปร่างของเขาสูงยิ่ง ยืนอยู่บนพื้นก็ยังคงมองระดับเดียวกับดวงตาของนางได้ ครานี้ในที่สุดนางก็เห็นใบหน้าของเขาถนัดชัดเจน

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com