“เพียงแต่…เรื่องนี้ไม่พูดออกไปจะดีเสียกว่า” เฉิงเซ่าซางพึมพำ “พูดออกไปแล้วกลับจะทำให้ชวีฮูหยินดูมีสาเหตุในการสังหารสามียิ่งกว่าเดิม”
“ลูกแม่” ฮองเฮาเอ่ยอย่างอ่อนแรง “เจ้ารู้หรือไม่ หากเจ้าเปิดปากพูดออกไป ก็ยากจะหนีพ้นคำคนอันน่ากลัว ชื่อเสียงของเจ้า ความประพฤติของเจ้า ล้วนไม่อาจชี้แจงให้ไร้รอยด่างพร้อยได้อีก”
รัชทายาทหลั่งน้ำตาตอบ “ผู้บริสุทธิ์ย่อมจะบริสุทธิ์วันยังค่ำ เสด็จพ่อจะเข้าพระทัยและให้อภัยลูก เหตุที่หลิงจวินไม่ยอมเรียกร้องความเป็นธรรมให้ตัวนางเองก็เพราะไม่ปรารถนาจะดึงลูกเข้าไปพัวพัน หากลูกหมายรักษาตัวรอด เบิกตามองนางถูกปรักปรำ เช่นนั้นลูกจะกลายเป็นคนเยี่ยงไร!”
เฉิงเซ่าซางซึ้งใจไม่น้อย ไม่ว่าที่ใดเมื่อไร ผู้มีเจตนาดีอยู่ในหัวใจมักทำให้ผู้อื่นรู้สึกอบอุ่นได้เสมอ
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ ข้าก็ยังคงไม่เห็นพ้อง” หลิงปู้อี๋ไม่รู้ร้อนรู้หนาวดุจเดิม
เฉิงเซ่าซางถูกขัดอารมณ์ซาบซึ้ง จึงเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ “นอกจาก ‘ไม่เห็นพ้อง’ สามคำนี้แล้ว ท่านพูดคำอื่นเป็นอีกหรือไม่!”
รัชทายาทหมุนตัวมาส่งยิ้มอันสลดหดหู่ให้เฉิงเซ่าซาง “ชายาของข้ากับหลิงจวินนิสัยต่างกันราวฟ้ากับดิน ทว่าสภาพในปัจจุบันกลับสลับกันโดยสิ้นเชิง เมื่อแรกข้าละทิ้งไข่มุกหยกไปเก็บเศษกระเบื้อง ในใจเจ้าคงจะลอบด่านานแล้วว่าข้าเป็นหนอนที่เลอะเลือน”
เฉิงเซ่าซางคิดในใจ…ท่านรู้ตัวก็ดี
รัชทายาทเอ่ยเสียงแผ่ว “เมื่อสิบปีก่อนข้าไม่รู้เรื่องสัญญาแต่งงานระหว่างเหลียงกับชวีสองสกุล นึกว่าหลิงจวินออกเรือนไปได้ดี สามีภรรยาปรองดอง ข้าจึงได้ยอมทนเจ็บแยกทาง ใครจะรู้นางกลับแต่งได้สามีที่เลวทราม เจอกับคนสารเลวเยี่ยงเหลียงซั่ง ต้องใช้ชีวิตอย่างอยู่มิสู้ตาย…คิดดูให้ละเอียดแล้ว ล้วนเป็นข้าเองที่ทำร้ายนาง ตอนนี้ถือว่าข้าใช้คืนหนี้น้ำใจนี้เถิด”
เฉิงเซ่าซางถอนหายใจเบาๆ
รัชทายาทกล่าวกับหลิงปู้อี๋ต่อ “จื่อเซิ่ง เจ้าแม้เยาว์วัยกว่าข้า ทว่ามีปัญญาเฉียบขาดแต่เล็ก ฟังเพียงหนึ่งรู้ไปถึงสิบ เมื่อแรกเจ้าโน้มน้าวให้ข้ายกเลิกการหมั้นเปลี่ยนมาแต่งกับหลิงจวิน ก็เพราะ ‘เจ็บนานมิสู้เจ็บชั่วสั้นๆ’ ข้าไม่ได้ฟังคำเจ้า บัดนี้เสียใจเมื่อสาย ซ้ำวันนี้…ข้ายังจะไม่ฟังคำเตือนอันจริงใจของเจ้าอีก”
ขณะที่เฉิงเซ่าซางยิ่งสะเทือนใจ หลิงปู้อี๋กลับเป็นเช่นเครื่องทวนข้อความเครื่องหนึ่งซึ่งไม่รู้สึกรู้สา “รัชทายาทกล่าวได้ดียิ่ง ทว่าข้ายังคงไม่เห็นพ้อง”
เฉิงเซ่าซางขึงตาใส่เขา “…”
รัชทายาทส่ายหน้ายิ้มขื่น เขาไม่ชี้แจงแก้ต่างอีก ฮองเฮาเองก็เบือนหน้าไปไม่พูดจา นับว่าเห็นชอบโดยนัยแล้ว
ภายหลังออกมาจากตำหนักฉางชิว เฉิงเซ่าซางสะทกสะท้อนทอดถอนใจ “ความจริงข้ามองคนได้เก่งทีเดียว แวบแรกที่ได้เห็นชายารัชทายาท ข้าก็รู้สึกว่านางไม่ใช่คนจิตใจดีอันใด ตอนนี้ดูแล้วไม่ผิดจริงๆ เสียด้วย แวบแรกที่ได้เห็นรัชทายาท ข้ารู้สึกว่าเขาเป็นวิญญูชนผู้โอบอ้อม เฮ้อ แล้วก็เป็นดังนี้จริงๆ เช่นกัน”
หลิงปู้อี๋เงียบงัน
เฉิงเซ่าซางถาม “ไฉนท่านไม่พูดไม่จา”
สีหน้าดุจสลักจากน้ำแข็งผนึกด้วยเกล็ดน้ำค้างของหลิงปู้อี๋นิ่งสนิทไม่เปลี่ยนแปลง “ข้าเพียงอยากรู้ รัชทายาท ‘บังเอิญรู้มา’ ได้อย่างไรว่าชวีหลิงจวินถูกเหลียงซั่งตบตีทารุณมาหลายปี”
เฉิงเซ่าซางยิ้มตอบอย่างไม่อินังขังขอบ “ข้ารู้ว่าเบื้องหลังเรื่องนี้มีปมซับซ้อนหลายอย่าง ทว่าจะสางปมเยอะแยะนี้ไปทำอันใดเล่า ขอเพียงตอนนั้นชวีฮูหยินไม่ได้อยู่ในเรือนตำรา ผู้สังหารก็ย่อมไม่ใช่นาง เท่านี้ก็ใช้ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
ไม่รู้หลิงปู้อี๋นึกถึงอันใด พอเดินไปถึงข้างต้นเหมยต้นหนึ่งจึงหยุดฝีเท้า ลูบศีรษะของเด็กสาวอย่างเบามือ บนเรือนผมอันนิ่มนุ่มนั้นถักเป็นวงแหวนเล็กๆ ครึ่งวงที่ดูใสซื่อน่ารักย้อยลงมาจรดข้างแก้ม เขาเอ่ยกับนางปนยิ้มน้อยๆ “อันที่จริงเจ้าหัวช้าเช่นนี้ก็ชวนให้ผู้อื่นชมชอบยิ่ง”
เฉิงเซ่าซางพลิกสีหน้าทันใด ตีมือของเขาออกไปดังเพียะ ดวงตากลมโตถลึงพลางเอ่ยด้วยโทสะ “ท่านหาว่าข้าโง่!” ในห้วงเวลาอันยาวนานที่นางถูกคนก่นด่าทั้งในที่ลับและที่แจ้ง วิธีด่าเยี่ยงนี้นับได้ว่าค่อนข้างแปลกใหม่
“มิสู้เจ้ากลับบ้านไปลองถามบิดามารดา ดูว่าพวกท่านจะพูดเช่นไร” หลิงปู้อี๋ยืนอยู่ใต้ต้นเหมยที่โปรยปรายกลีบดอกสีขาวต้นนี้ พร้อมกับรอยยิ้มที่สดชื่นงามกระจ่างตราตรึง
“ถามก็ถามสิ!” เฉิงเซ่าซางตอบเสียงดัง