ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 107
วันรุ่งขึ้นเฉิงเซ่าซางนอนจนตะวันส่องบั้นท้ายจริงๆ เสียด้วย ครั้นคืบคลานออกจากผ้าห่มอันอบอุ่นมาอย่างพึงพอใจ นางก็ล้างหน้าหวีผมแต่งตัวเรียบร้อย อาจู้อดถามไม่ได้ “ตั้งโมงยามนี้แล้ว เหตุใดคุณหนูไม่กินอาหารกลางวันที่จวนค่อยเข้าวังเล่าเจ้าคะ”
เฉิงเซ่าซางเดินมุ่งไปเบื้องนอกพลางยิ้มตอบ “ข้าช่วยทางบ้านประหยัดเสบียงอย่างไรเล่า”
ใครจะรู้อาเหมยตัวน้อยที่อยู่อีกด้านกลับเปิดโปงเฉิงเซ่าซาง “พี่เฉี่ยวกั่วบอกข้าหมดแล้ว วันนี้ตำหนักฉางชิวมีเนื้อกวางย่างเกลือ คุณหนูอยากกินมาช้านาน ยังกำชับพ่อครัวเก็บไว้ให้ด้วยหลายๆ ชิ้น ตกเย็นจะนำกลับมาให้ทุกคนได้ลิ้มลอง”
เฉิงเซ่าซางทำหน้าผีทะเล้นใส่อาเหมย “เด็กจอมคาบข่าว กล้าเผยความลับข้ารึ ระวังเนื้อกวางจะไม่มีส่วนของเจ้า!”
เฉิงเซ่าซางออกไปท่ามกลางเสียงหัวเราะของสาวใช้ที่ดังก้องลาน เมื่ออยู่ในรถม้า นางยังไม่ลืมที่จะตำหนิเฉี่ยวกั่ว “ข้าอุตส่าห์นึกว่าเจ้าซื่อสัตย์ปิดปากสนิท เจ้าบอกอาเหมย ไม่เท่ากับบอกอาจู้? บอกอาจู้ ไม่เท่ากับบอกท่านแม่ข้า? ท่านแม่รู้แล้ว ท่านพ่อมีหรือจะไม่รีบมาหัวเราะเยาะว่าข้าตะกละ!”
เฉี่ยวกั่วตอบด้วยความละอาย “ล้วนเป็นเพราะบ่าวไม่ดีเอง ค่ำเมื่อวานบ่าวบอกพ่อครัวเรือนหน้าว่าวันนี้คุณหนูจะนำเนื้อกวางที่สดใหม่กลับมาบ้าน ตอนที่ถามเขาว่าปรุงเป็นหรือไม่ ก็ถูกอาเหมยได้ยินเข้าเจ้าค่ะ”
เหลียนฝางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ความจริงก็ไม่ต่างกันนั่นล่ะ พ่อครัวรู้แล้ว ชิงชงฮูหยินก็ต้องรู้ เช่นนั้นนายหญิงย่อมจะรู้ได้อยู่ดี” ความหมายคือไม่ว่าอย่างไรเฉิงเซ่าซางก็หนีไม่พ้นหรอก
ขณะที่นายบ่าวสามคนกำลังสนทนา รถม้าแล่นตัดผ่านตลาด เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าวันนี้ข้างนอกอึกทึกผิดธรรมดา ไม่รู้กำลังเอะอะมะเทิ่งอันใดกัน ในใจนางรู้สึกไม่สู้ดี จึงสั่งบ่าวชายไปสืบดู ปรากฏว่าสถานการณ์ที่ถามได้มาถึงกับทำให้นางตระหนกจนหน้าถอดสี
“…ชาวบ้านกำลังถกกันเอง…ว่าองค์รัชทายาทเป็นผู้สังหารคุณชายในบ้านผู้ว่าการเหลียงขอรับ!”
เฉิงเซ่าซางแตกตื่นยิ่งยวด ไม่กล้าชักช้าอีก รีบให้รถม้าแล่นสู่วังหลวงในทันที ครั้นลงรถม้าที่ประตูซั่งซีและวิ่งเร็วรี่ตลอดทางจนถึงตำหนักฉางชิวแล้ว นางค่อยพบว่าตั้งแต่ขันทีระดับกลางที่เฝ้าอยู่หน้าประตูตำหนัก ไปจนถึงนางกำนัลที่กวาดถูอยู่รายทางล้วนมีสีหน้าประหวั่นระแวดระวัง กลัวแต่ว่าจะสะกิดให้เคราะห์ภัยลามมาถึงตัว
ไจ๋เอ่าตรงมาต้อนรับ บอกนางเสียงเบาว่ารัชทายาทอยู่ด้านในถูกฮ่องเต้ต่อว่าต่อขานอยู่ ตนไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะรับ ย่างเท้าเข้าตำหนักไปอย่างระมัดระวัง เดินมุ่งสู่ด้านในไปตามทางระเบียงตำหนัก กระทั่งพบเห็นเฉินอันจือเฝ้าอยู่หน้าประตูโถงชั้นใน จึงประสานมือทำท่าขอร้องมิให้เขาทูลแจ้ง เฉินอันจือก็ยิ้มขื่นพยักหน้า
เสียงฮ่องเต้ก่นด่าด้วยโทสะถ่ายทอดออกจากโถงชั้นในมาเป็นระลอก เฉิงเซ่าซางได้ยินรางๆ ว่า “เลอะเลือนไร้หัวคิด” “ทำตามอำเภอใจ” “โง่เง่าถึงขีดสุด” เป็นต้น ตลอดมานางเคารพรัชทายาทยิ่งนัก รู้สึกว่าอีกฝ่ายมีอุปนิสัยอันซื่อตรงไม่ปรุงแต่ง จิตใจดีงามสงสารผู้ตกทุกข์ได้ยาก พบเห็นความอยุติธรรมหาญกล้าเข้าช่วย…กระนั้นนางกลับถอยออกมาเงียบๆ
“เจ้าจะไม่เข้าไปพูดจาน่าฟังแทนรัชทายาทสักสองประโยคหรือ” สุ้มเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังโดยไม่ให้ตั้งตัว เฉิงเซ่าซางหวิดจะกรีดร้องออกมา
นางหันหลังขวับ ออกแรงตีหลิงปู้อี๋ก่อนลดเสียงเอ่ย “ข้าเสียสติหรือไร ปกติไม่มีเหตุฝ่าบาทยังทรงเทศนาข้า ขืนเข้าไปตอนนี้ ข้าได้ไปแล้วไปลับน่ะสิ!”
เห็นเด็กสาวตื่นกลัวจนดวงหน้าเล็กเครียดเกร็ง หลิงปู้อี๋ก็พานางออกไปจนถึงโถงปีกเพื่อให้นางกินอาหารกลางวัน เขาวางเนื้อกวางที่อวบอิ่มที่สุดชามนั้นลงตรงหน้านาง มองนางด้วยแววตารักใคร่ใจดีดุจให้กำลังใจลูกแมวเลียดื่มนมวัว ครั้นเฉิงเซ่าซางถามว่าที่แท้เกิดเรื่องราวใด หลิงปู้อี๋ก็บัญชาให้นางกินไปฟังไป จากนั้นค่อยเล่าความโดยละเอียด…
บ่ายเมื่อวานรัชทายาทไปสารภาพกับฮ่องเต้เรื่องที่ตนลอบพบปะกับชวีหลิงจวิน มุ่งหวังจะใช้เรื่องนี้ล้างมลทินแทนนาง ผลคือถูกฮ่องเต้ด่ากราดแสกหน้าไปหนึ่งยก แล้วสั่งห้ามรัชทายาทเคลื่อนไหวโดยพลการ พระองค์ที่เป็นบิดาจะคิดอ่านให้เอง ใครจะรู้รัชทายาทกังวลว่าเรื่องราวยิ่งลากยาว ความทุกข์ยากที่ชวีหลิงจวินได้รับก็จะยิ่งมาก เกิดนางปลงไม่ตกคิดสั้นขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร ดังนั้นเขาจึงไปบอกความจริงกับจี้จุนถึงกรมอาญาเอง ว่ากันว่าตอนนั้นผู้เฒ่าจี้โกรธจนใบหน้าสลับสีฉูดฉาด ถลึงตาใส่รัชทายาทซึ่งหน้าหลายหนอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ก่อนไปแจ้งสกุลเหลียงด้วยตนเองภายใต้การร้องขอซ้ำแล้วซ้ำเล่าของรัชทายาท
เหลียงเอ่าย่อมเต้นผาง แผดด่าเสียงกร้าวว่าชวีหลิงจวินไม่รักษาจรรยาสตรี เคียดแค้นจนแทบจะถลกหนังลูกสะใภ้ออกมา แต่ผู้ว่าการเหลียงไม่สนใจไยดีอารมณ์ของเหลียงเอ่า ตรงไปประกาศต่อผู้อาวุโสคนสำคัญในตระกูลหลายท่าน…ใจความคือไม่ว่าฆาตกรเป็นใคร แต่สรุปว่าไม่ใช่ชวีหลิงจวิน อีกทั้งเรื่องนี้สมควรจะยุติแต่เพียงเท่านี้ ไม่เหมาะจะสืบสาวต่อไปอีก มาถึงตรงนี้ทุกคนต่างพรูลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะหากชวีหลิงจวินทนถูกทำทารุณไม่ไหวจนฆ่าสามี และท้ายที่สุดชดใช้ด้วยชีวิตจริงๆ เช่นนั้นเหลียงกับชวีสองสกุลจะต้องเป็นอริกันอีกคราแน่ อย่าว่าแต่ทุกคนเชื่อมั่นในความประพฤติที่ผ่านมาของชวีหลิงจวิน ไม่เชื่อว่ารัชทายาทกับนางมีสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ต่อให้มีแล้วอย่างไรเล่า ในครอบครัวใหญ่ตระกูลสูงศักดิ์มีเรื่องที่พูดให้ชัดเจนไม่ได้ออกถมเถไป
เมื่อมาถึงขั้นนี้ ศพของเหลียงซั่งก็บรรจุโลงได้เสียที สมควรทำความสะอาดเพื่อเตรียมส่งศพในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เนื่องจากแผลที่คร่าชีวิตเหลียงซั่งเด่นชัดเหลือเกิน ทำให้จี้จุนที่รอบคอบมาร้อยครั้งพลาดพลั้งไปหนึ่งครา ที่ผ่านมาถึงกับไม่ได้ตรวจสอบศพ ถัดจากนั้นเรื่องราวจึงได้ย่ำแย่
“ในปากของเหลียงซั่งอมเครื่องประดับหยกรูปจักจั่นอยู่ชิ้นหนึ่ง บนนั้นสลักอักษรสองตัวว่า ‘จื่อคุน’ ” หลิงปู้อี๋เอ่ยเรียบๆ
เฉิงเซ่าซางรู้ว่านี่เป็นชื่อรองของรัชทายาท “เข้าใจผิดใช่หรือไม่ อาจมีคนปลอมแปลงก็ได้ สลักอักษรไม่ยากสักหน่อย”
“ตอนนั้นใต้เท้าจี้ยังอยู่ในจวนสกุลเหลียง กำลังกินอาหารเย็นกับใต้เท้าผู้ว่าการ เขาเป็นผู้ที่ได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทในวังบ่อยครั้ง ย่อมจำแนกออกว่านั่นคือหยกที่รัชทายาทห้อยประดับเป็นประจำ” หลิงปู้อี๋ตอบสบายๆ
“ความจริงไม่กี่วันก่อนใต้เท้าจี้ยังเห็นข้างเอวรัชทายาทห้อยจักจั่นหยกชิ้นนี้อยู่เลย อีกอย่าง…คลายมวยผมของเหลียงซั่งออกแล้ว ในเรือนผมก็มีดอกกุ้ยที่เล็กจ้อยแทรกปนอยู่จำนวนหนึ่ง…กินต่อ อย่าหยุดสิ…มิผิด ดอกกุ้ยนั้นก็คือดอกกุ้ยสีม่วง” หลิงปู้อี๋กล่าวต่อจนจบ