ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 107
นั่นก็คือผลผลิตเฉพาะในคฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วงของรัชทายาทแห่งนั้น…ดอกกุ้ยสีม่วงที่มีเพียงหนึ่งเดียวทั่วทั้งเมืองหลวง!
“ยังมีอีกหรือไม่” เฉิงเซ่าซางถามอย่างไม่มีอะไรจะเสียแล้ว
“ย่อมมีอีก” หลิงปู้อี๋ตอบเรียบๆ “ใต้เท้าจี้แม้สูงวัย สมองกลับไม่เชื่องช้า เขาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็ไปตรวจดูหีบที่ใช้ส่งตำราโบราณใบนั้นทันที”
“หีบใบนั้นมีอะไรหรือ” เฉิงเซ่าซางเอ่ยด้วยความฉงน “ข้าจำได้ว่ามันว่างเปล่านี่นา อ๊ะ ไม่ถูกสิ ข้างในยังมีหนังสือไม้ไผ่อยู่สองสามม้วน ด้านข้างก็มีกระจัดกระจายอยู่อีกหลายม้วน”
“ใต้เท้าจี้ฉวยหนังสือไม้ไผ่ที่เหลืออยู่ในหีบออกมาทั้งหมด เลิกผ้าชุบน้ำมันที่รองก้นหีบอยู่ออก ค้นพบว่าผนังหีบไม่เพียงมีคราบเลือด ยังมีดอกกุ้ยสีม่วงหลายดอก”
“เบาะแสช่างเป็นระเบียบเรียบร้อยนัก” เฉิงเซ่าซางยิ้มเยาะพลางฟาดตะเกียบลง นางแทบฉุกคิดได้ทันทีถึงสิ่งที่คนจวนสกุลเหลียงคาดเดาในใจเมื่อคืน…ชวีหลิงจวินหมายลักลอบพบปะรัชทายาท ทว่าถูกเหลียงซั่งจับได้ แล้วสะกดรอยนางไปตลอดทางจนถึงคฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วง ครั้นเปิดโปงเรื่องของภรรยากับรัชทายาท เหลียงซั่งที่เข้าวิวาทด้วยโทสะก็ถูกฆ่าตาย ถัดจากนั้นรัชทายาทหมายอำพรางเรื่องนี้จึงให้ใช้หีบตำราลำเลียงศพของเหลียงซั่งกลับมายังเรือนตำรา ชวีหลิงจวินค่อยแสร้งทำเป็นพบศพ สุดท้ายรัชทายาทออกหน้าเป็นพยานเพื่อให้ชวีหลิงจวินพ้นผิด
“แล้วเรื่องบานปลายใหญ่โตเพียงนี้ได้อย่างไร ผู้คนวิจารณ์กันแทบจะทุกตรอกถนนแล้ว!” เฉิงเซ่าซางเอ่ยอย่างหัวเสีย “คนสกุลเหลียงไม่รู้จักเป็นตายเยี่ยงนี้เชียวหรือ อย่าว่าแต่เรื่องราวยังไม่ชัดแจ้ง ต่อให้รัชทายาทผิดจริงๆ พวกเขาก็เปิดเผยเรื่องนี้ออกมาไม่ได้!”
“แน่นอนว่าคนฉลาดจะไม่ทำเรื่องเยี่ยงนี้ ทว่า…สกุลเหลียงยังมีตัวโง่งมอยู่ผู้หนึ่งไม่ใช่หรือไร” หลิงปู้อี๋ถากถาง “หญิงชราสกุลเหลียงผู้นั้นเจ็บแค้นอยู่ในใจ เชื่อมั่นว่าผู้ว่าการเหลียงกับใต้เท้าจี้ล้วนเจตนาจะปกป้องรัชทายาทกับชวีหลิงจวิน เมื่อคืนนางจึงแสร้งเป็นลม วันนี้พอเช้านางก็ให้คนสนิทลอบออกจากจวนสกุลเหลียง ฟ้องคดีต่อผู้ว่าการเมืองหลวงอย่างเอิกเกริก”
เฉิงเซ่าซางโกรธจนแน่นหน้าอก มองไปทางหลิงปู้อี๋ “เรื่องบานปลายถึงขั้นนี้แล้ว ไฉนท่านยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
หลิงปู้อี๋ยิ้มเย็น “รู้เสียทีว่าฝ่ายตรงข้ามหมายออกกระบวนท่าใด นี่ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ หาไม่ก็ต้องคอยพะวงอยู่ตลอด ไม่รู้ที่ใด ไม่รู้เมื่อไร ไม่รู้ใครจะเล่นงานฝ่ายเรา”
ร่างอันสูงเพรียวของเขายืนขึ้นอย่างสง่างาม ย่างก้าวเนิบช้าอยู่ภายในห้อง “เบาะแสสายนี้ดูคล้ายร้อยเรียงเป็นระเบียบ แต่ใช่ว่าไร้ช่องโหว่ให้โจมตี จะจักจั่นหยกก็ดี ดอกกุ้ยม่วงก็ดี ล้วนใช้ปรักปรำได้ทั้งสิ้น แต่ไรมารัชทายาทเป็นคนสบายๆ ไม่ยึดติดเรื่องหยุมหยิม เมื่อแรกกระทั่งตราประทับของตำหนักบูรพายังเคยทำหายไป นับประสาอะไรกับเครื่องประดับเล็กน้อยเท่านี้
ทว่ารัชทายาทผู้จิตใจดีซื่อตรงของพวกเราอุตส่าห์ยอมรับเสียเองว่าเคยพบปะกับชวีหลิงจวินที่คฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วง เรื่องนี้จึงยุ่งเหยิงอยู่บ้าง กระนั้นต่อให้เหลียงซั่งบุกไปเปิดโปงรัชทายาทกับชวีหลิงจวินจริง การสะสางศพคนผู้หนึ่งก็ง่ายดายยิ่ง ฮึ ไยต้องเปลืองแรงทำยุ่งยาก เรียกว่ายิ่งปกปิดยิ่งเผยพิรุธชัดๆ!
เรื่องนี้แม้มีช่องโหว่อีกมาก แต่ตราบใดที่ความจริงยังไม่กระจ่าง หากฝ่าบาททรงฝืนปิดคดี ชั่วชีวิตรัชทายาทก็ยากจะหนีพ้นคำนินทากับการมองด้วยหางตา ข้าว่าคนในมุมมืดผู้นั้นดูเหมือนไม่มีเจตนาจะตอกตรึงข้อหาฆ่าคนชิงภรรยานี้ไว้บนศีรษะของรัชทายาทหรอก เพียงคิดจับปลาตอนน้ำขุ่น ทำลายเกียรติภูมิของรัชทายาทเพื่อหวังผลในอนาคต”
มาจนถึงตอนนี้ คดีฆ่าสามีซึ่งเดิมทีดูคล้ายธรรมดาทั่วไปจึงค่อยฉีกเปิดผ้าคลุมที่มันปิดซ่อนอย่างระมัดระวังออกช้าๆ เผยโฉมหน้าแท้จริงอันมากเล่ห์ชวนพรั่นพรึงต่อหน้าเฉิงเซ่าซาง กลไกทุกห่วงโซ่ร้อยรัด ทุกจุดที่หักเหล้วนสอดรับกับจุดอ่อนของจิตใจคน เมื่อคิดว่าตั้งแต่ต้นจนจบมีคนลอบจับตาตำหนักฉางชิวดุจเขี้ยวโง้งที่มีโลหิตหยาดหยดแผ่ไอยะเยือกชวนสะพรึง ชั่ววูบหนึ่งเฉิงเซ่าซางก็ถึงกับสั่นสะท้านทั้งที่ไร้ลมหนาว
หลิงปู้อี๋รอคอยจนทางฮ่องเต้ด่าทอไปพอสมควรแล้ว ค่อยเดินกลับโถงชั้นในไปสะสาง ‘สนามรบ’ และแวะรับ ‘เชลยศึก’ ผู้หนึ่ง
ฮองเฮาล้มป่วยอีกคราแล้ว ไม่รู้เป็นเพราะโกรธเคืองหรือเสียใจ นางไม่ได้เอ่ยถึงกับเฉิงเซ่าซางแม้ประโยคเดียว ยังคงคลี่ยิ้มน้อยๆ บอกให้เด็กสาวนำเนื้อกวางกลับบ้านไปเร็วหน่อย หากพ่อครัวสกุลเฉิงปรุงเนื้อกวางไม่เป็น ก็ให้เรียกพ่อครัวตำหนักฉางชิวไปจวนสกุลเฉิงสักเที่ยว
เฉิงเซ่าซางออกจากห้องบรรทมมาอย่างเงียบงัน แลเห็นรัชทายาทกำลังนั่งเหม่ออยู่ใต้ทางระเบียงนอกห้อง ดวงหน้าของเขาใต้แสงตะวันรอนคล้ายชราภาพลงห้าหกปีในชั่ววันเดียว ดูไร้ที่พึ่งเป็นอย่างยิ่ง เขาสัมผัสได้ว่าด้านหลังมีคนมา จึงเอ่ยถามเสียงเบา “เสด็จแม่ทรงสบายดีหรือไม่”
“ฮองเฮาเสวยพระโอสถและเข้าบรรทมแล้วเพคะ”
“ข้างนอกมีคนพูดว่าข้าประพฤติต่ำทรามไร้คุณธรรม ความจริงวาจานี้ไม่ผิดเลย ดีที่สุดควรเพิ่มอีกประโยคด้วยว่าข้ามีตาหามีแววไม่ เมื่อแรกข้ามองชายาของตนผิดไป จึงทำร้ายให้หลิงจวินต้องออกเรือนไปกับคนชั่วช้า บัดนี้ข้าอยากช่วยหลิงจวินสักครั้ง กลับผลักให้นางตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม หึๆ ข้านี่ช่างเป็นว่าที่ประมุขแผ่นดิน…ที่หาดีไม่ได้เลยจริงๆ” รัชทายาทเยาะหยันตนเอง
“รัชทายาทเพคะ ทรงรู้สึกว่าชวีฮูหยินไม่ได้ฆ่าเหลียงซั่งจริงๆ หรือ” เฉิงเซ่าซางไม่ปลอบโยนอีกฝ่าย ตรงข้ามยังตั้งคำถามอันแหลมคม “เมื่อแรกทรงมองพระชายาผิดไป บัดนี้จะมองชวีฮูหยินผิดไปเช่นกันหรือไม่ ความจริงระหว่างทางนางอาจวางแผนสังหารสามีตนเอง แล้วซ่อนศพไว้ในหีบตำรา รอจนพบปะกับพระองค์เสร็จค่อยลำเลียงศพกลับเรือนตำราของสกุลเหลียง”
รัชทายาทตะลึงไปวูบหนึ่งก่อนยิ้มกล่าว “แล้วสาเหตุที่นางทำเช่นนี้เล่า ดึงข้าเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้มีผลดีอันใดต่อนาง มีผลดีอันใดต่อเหลียงกับชวีสองสกุล”
“ทูลรัชทายาท หม่อมฉันไม่เข้าใจเรื่องการปกครอง เหลียงกับชวีสองสกุลจะไม่มีความคิดให้ร้ายพระองค์แน่หรือเพคะ” เฉิงเซ่าซางถามต่อ