รัชทายาทหลุดหัวเราะ “ข้าแม้โง่เขลาสายตามืดบอด แต่ก็มิได้ไม่รู้ความจนถึงขั้นนี้ ตระกูลขุนนางเก่าแก่อย่างเหลียงกับชวีสองสกุล ต่อให้อยากให้ร้ายข้าเพียงใดก็จะไม่ลงสนามด้วยตนเองเด็ดขาด”
เฉิงเซ่าซางพึมพำ “หม่อมฉันก็คิดเช่นเดียวกัน ตอนนี้สกุลเหลียงชุลมุนดุจโจ๊กเดือดหนึ่งหม้อ ชื่อเสียงย่อยยับ มีหรือจะสละตัวลืมความเป็นตายมาให้ร้ายผู้อื่น ซ้ำไม่แน่ว่าจะโจมตีจุดตายของผู้อื่นได้ในคราวเดียว นี่ไม่เท่ากับทำร้ายศัตรูแปดร้อยบ่อนทำลายตนเองหนึ่งพันหรือ อย่างวงศ์ตระกูลของหม่อมฉันที่เพิ่งจะก่อร่างสร้างตัวขึ้นมายี่สิบสามสิบปี ท่านพ่อยังหักใจเอาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลมาเสี่ยงไม่ได้ นับประสาอะไรกับสกุลเหลียงสกุลชวีเล่า”
“เซ่าซางคิดจะพูดอันใดกันแน่” รัชทายาทถามด้วยความฉงน
เฉิงเซ่าซางดึงสติคืนมายิ้มตอบ “ก่อนหน้านี้ใต้เท้าหลิงเคยบอกหม่อมฉัน ชวีฮูหยินเป็นผู้มีสติปัญญาเสมอมา หากอยากสังหารเหลียงซั่งจริงๆ ย่อมมีวิธีอยู่ถมเถ นางจะไม่ทำให้ตนเองตกอยู่ในภาวะอับจนเยี่ยงนี้เด็ดขาด ประกอบกับถ้อยคำเมื่อครู่ของรัชทายาท หม่อมฉันคิดว่า…เหลียงซั่งต้องมิใช่ชวีฮูหยินเป็นผู้สังหารเพคะ”
“ข้อนี้แน่นอน”
“และเหลียงซั่งผู้นั้นก็คงจะไม่คิดสั้นเองด้วย?”
รัชทายาทหลุดหัวเราะอีกครา “นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกันเล่า”
“เช่นนั้นก็ดีเพคะ”
เฉิงเซ่าซางนั่งลงข้างกายรัชทายาท สองตานางหมดจดบริสุทธิ์ดุจเด็กน้อยขณะเอ่ยด้วยสีหน้าอันจริงจัง “องค์รัชทายาท เมื่อสิบปีก่อนพระองค์อาจทำผิดไป ทว่าสิบปีให้หลังมิได้ทำผิด เมื่อรู้ว่าชวีฮูหยินถูกทำทารุณ หากพระองค์มัวพะวงชื่อเสียงจนไม่ไยดีไถ่ถาม นั่นต่างหากจะทำให้ผู้คนผิดหวังปวดใจ แต่ไรมามีก็แต่คนเป็นโจรได้พันปี หามีใครป้องกันโจรได้พันปีไม่* มีคนลอบเล่นงานพระองค์อยู่ หากทรงกลัวนั่นกลัวนี่เสียจนนั่นไม่กล้านี่ก็ไม่กล้า เช่นนั้นมีชีวิตอยู่จะน่าเบื่อถึงเพียงใด
ทว่า…มีเรื่องหนนี้เป็นเครื่องเตือนใจแล้ว ต่อไปทรงต้องหารือกับใต้เท้าหลิงก่อนค่อยกระทำการดีหรือไม่ เหลียงซั่งเป็นเศษสวะ ตัวบัดซบ สารเลว เรื่องที่เขาข่มเหงชวีฮูหยิน พระองค์ไม่สะดวกจะออกหน้าเองก็ไหว้วานใต้เท้าหลิงได้นี่เพคะ ใต้เท้าหลิงมีวิธีหนึ่งร้อยแปดสิบแบบเป็นอย่างน้อยที่จะจัดการอีกฝ่าย ทรงว่าใช่หรือไม่เล่า”
รัชทายาทได้รับแรงกระตุ้นจากน้ำเสียงอันแรงกล้าของแม่นางน้อย พาให้เผยรอยยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “ข้าจำไว้แล้ว ต่อไปจะหารือกับจื่อเซิ่งแน่นอน เพียงแต่…เซ่าซางพูดเหมือนตอนนี้เรื่องราวยุติลงแล้วอย่างนั้นล่ะ”
เฉิงเซ่าซางยืนขึ้นยืดไหล่ผึ่งผาย ตอบอย่างหนักแน่น “วางพระทัยได้เพคะ ในเมื่อชวีฮูหยินเป็นผู้บริสุทธิ์ ฆาตกรตัวจริงก็ต้องเป็นผู้อื่น ใต้ผืนฟ้าไม่มีป่าใดที่ไร้แสงเล็ดลอด บนผืนดินไม่มีแม่น้ำใดที่ไร้หยดน้ำรั่วไหล ไม่ใช่การค้นหาท่ามกลางทะเลมนุษย์อันไพศาล ไร้ร่องรอยให้สืบเสาะเสียหน่อย แค่จวนสกุลเหลียงแห่งเดียว พลิกค้นมันทุกซอกทุกมุม ย่อมจะพบพิรุธจนได้!
รัชทายาทกับชวีฮูหยินล้วนเป็นคนดี ไม่มีเหตุผลที่คนดีจะต้องกล้ำกลืนฝืนทน ส่วนคนถ่อยกลับกระหยิ่มได้ใจ อย่าได้ทรงกังวลว่าบัดนี้เกียรติภูมิตกต่ำ ขอเพียงฆาตกรตัวจริงถูกจับกุม เรื่องราวกระจ่างแจ้งแล้ว ความบริสุทธิ์ย่อมจะกลับคืนแก่พระองค์เอง”
รัชทายาทคิด…นางเปี่ยมด้วยพลังชีวิต ต่างจากสิ่งมีชีวิตอันอ่อนแอซีดเซียวที่เติบโตมาในวังอันลึกล้ำนี้โดยสิ้นเชิง นางเฉกเถาวัลย์ป่าอันแกร่งเหนียว ต่อให้ไม่มีกิ่งไม้ให้เลื้อยพัน ก็สามารถกระหวัดเป็นเกลียวหยัดยืนขึ้น แตกกิ่งก้านชูรับแสงตะวันได้ด้วยตนเอง
เขายินดีแทนหลิงปู้อี๋จากใจจริง
* ‘มีก็แต่คนเป็นโจรได้พันปี หามีใครป้องกันโจรได้พันปีไม่’ หมายถึงกำลังของมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด การป้องกันตัวในเวลายาวนาน ไม่ว่าใครก็ต้องพลาดพลั้งเข้าสักวัน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 มี.ค. 66 เวลา 12.00 น.