ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 131
หลิงปู้อี๋ขานดังอืม
รถม้าจอดที่ประตูซั่งซีของวังหลวงเช่นเคย เวรยามรักษาประตูวังกระซิบแจ้งหลิงปู้อี๋ว่า “ตั้งแต่เช้าตรู่ก็มีใต้เท้าหลายท่านเข้าวัง บอกว่าจะหารือธุระกับรัชทายาทขอรับ”
หลิงปู้อี๋ชะงักฝีเท้า เดิมเฉิงเซ่าซางร้อนใจจะไปพบฮองเฮา ทว่าเขากลับจูงนางมุ่งสู่สำนักราชเลขาธิการไปพลางกำชับนางเสียงเบาไปพลาง “ประเดี๋ยวให้เจ้าพูดว่า…ฮองเฮาประชวร เชิญรัชทายาทไปเยี่ยม”
เฉิงเซ่าซางถูกเขาจูงพาไปอย่างมึนๆ งงๆ…หา? ฮองเฮาไม่สบายอีกแล้วหรือนี่ ไฉนข้าไม่รู้เลยเล่า
ขันทีที่เข้าเวรประจำสำนักราชเลขาธิการคุ้นเคยกับหนุ่มสาวแซ่หลิงกับเฉิงทั้งสองดียิ่ง จึงปล่อยให้ทั้งสองเข้าไปโดยไม่ขัดขวางแม้แต่น้อย ทั้งสองยังไม่ทันจะย่างเท้าเข้าโถงปีก เสียงโต้แย้งอย่างจนใจของรัชทายาทก็ดังออกจากด้านในมาให้ได้ยินก่อน “…เรื่องรังวัดที่ดิน* เสด็จพ่อทรงเปรยขึ้นมาเพียงประโยคเดียว ไยใต้เท้าทุกท่านต้องรบเร้าซักไซ้”
ถัดจากนั้นก็คือเสียงพูดหักล้างอย่างต่อเนื่อง…
“รัชทายาท วาจานี้ผิดแล้ว ฝ่าบาทไม่เคยตรัสถ้อยคำที่ไร้ประโยชน์ ในเมื่อทรงเปรยถึงเรื่องรังวัดที่ดิน ก็หมายความว่ามีพระดำรินี้ รัชทายาทในฐานะว่าที่ประมุขแผ่นดินมีหรือจะทรงไม่รู้อันใดเลย!”
“มิผิด! รังวัดที่ดินมิใช่เรื่องเล็ก จะรังวัดเช่นไร เริ่มรังวัดที่ใด รังวัดครัวเรือนใดบ้าง หลักการในเรื่องนี้ใหญ่นัก รัชทายาททรงชี้แจงขั้นตอนข้อบังคับออกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เฉิงเซ่าซางไม่ง่วงงุนสักนิดแล้ว รีบพุ่งตัวไปส่องตรงร่องของฉากกั้นห้อง แลเห็นด้านในชุมนุมไปด้วยคนกลุ่มใหญ่ซึ่งแต่งกายเช่นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ละคนพูดน้ำลายแตกฟอง ท่าทางเอาเรื่อง เพียงแต่นางไม่รู้จักเลยสักคน
เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมานางวิ่งมาสำนักราชเลขาธิการทำธุระจิปาถะแทนฮองเฮาแทบจะวันเว้นวัน ขุนนางที่ท่านลุงฮ่องเต้ให้เข้าพบเป็นประจำนั้น นางล้วนเคยเจอเกือบสามสี่รอบแล้ว นี่ก็หมายความว่า…ขั้นยศของกลุ่มคนที่เห็นอยู่ตอนนี้คงไม่ค่อยสูงสินะ
ในที่สุดรัชทายาทก็ถูกบีบให้ปริปาก “เจตนาที่เสด็จพ่อตรัสถึงเรื่องรังวัดที่ดินคือหมายจะสำรวจจำนวนประชากรกับที่ดินให้ชัดแจ้ง ตรวจสอบสำมะโนครัวกับยอดอากรให้ถูกต้อง นี่ไม่เพียงช่วยเพิ่มพูนท้องพระคลัง ทำให้เข้าใจสภาพการณ์ของเมืองในแต่ละมณฑล ยังสามารถควบคุมตระกูลที่มีกำลังทหารแล้วไม่ไยดีคำสั่งราชสำนักเหล่านั้นได้ นี่เป็นเรื่องดีที่มีประโยชน์ต่อบ้านเมืองกับราษฎรอย่างใหญ่หลวง เจตนาดียิ่งยวด…”
“รัชทายาท วาจานี้ผิดถนัด” เสียงระคายหูเสียงหนึ่งดังขึ้น “ว่ากันถึงเจตนา บรรดา ‘แผนการปกครองใหม่’ ของลี่ตี้ราชวงศ์ก่อนเจตนาไม่ดีหรือไร สาธยายออกมาล้วนมีเหตุผลน่าฟัง มีการอ้างอิงตำรามากมาย กระทั่งปราชญ์ทั่วไปถึงกับพูดสู้ลี่ตี้ไม่ได้! ทว่าผลเป็นเยี่ยงไรเล่า”
“ถูกต้องๆ! แผนการปกครองใหม่ที่ว่าของลี่ตี้ ประเดี๋ยวเปลี่ยนเงินตรา ประเดี๋ยวเพิ่มอากร ทั้งจะไล่ตรวจหาจำนวนคนกับที่ดินทีละครัวเรือน ตอนนั้นพูดจาก็ใช้ถ้อยคำสวยหรูเช่นกัน ใครจะรู้นอกจากบีบคั้นให้เกิดเรื่องบ้านแตกสาแหรกขาดอันน่าอนาถใจแล้ว กลับมีแต่เอื้อให้มอดที่อยู่เบื้องล่างได้ยักยอกเกาะกิน รัชทายาททรงต้องใช้เป็นอุทาหรณ์สิพ่ะย่ะค่ะ…”
ขณะที่เฉิงเซ่าซางกำลังฟังอย่างจดจ่อแนบชิดกับฉากกั้นห้อง หลิงปู้อี๋พลันยกขาที่เพรียวยาวเตะใส่ฉากหนึ่งเท้าชนิดที่นางไม่ทันตั้งตัว ฉากถูกเตะล้มครืนทันตา เด็กสาวที่ยังอยู่ในท่างอเอวแอบฟังก็พลอยถูกเปิดเผยเบื้องหน้าสายตาผู้คนไปด้วย
หลิงปู้อี๋เหลียวมองผู้คนในโถงรอบหนึ่งซึ่งมีสีหน้าแตกต่างกันไป ก่อนเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ใต้เท้าทั้งสองอ้าปากหุบปากมีแต่ลี่ตี้ของราชวงศ์ก่อน ความนัยในวาจาจะสื่อถึงฝ่าบาท…หรือว่ารัชทายาทกันเล่า”
ในโถงเงียบกริบไปชั่วขณะ ผู้คนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก มีเพียงรัชทายาทมองมาทางหลิงปู้อี๋พลางเอ่ยด้วยความยินดี “จื่อเซิ่งมาแล้ว”
ขุนนางฝ่ายบุ๋นร่างสูงผู้หนึ่งยืนขึ้นกล่าวเสียงดัง “เว่ยเจียงจวิน* ไยต้องเอาข้อหาเยี่ยงนี้มายัดเยียดใส่ผู้อื่น ใช้ประวัติศาสตร์เป็นอุทาหรณ์ ทัดทานเตือนสตินายเหนือหัว เดิมทีก็เป็นหน้าที่ของพวกเราเหล่าขุนนางอยู่แล้ว…”
“หรือว่าหน้าที่ของพวกท่านคือการจับผิด ติเตียน กุเรื่องอย่างมักง่าย? นั่นช่างมีฝีมือดีแท้” หลิงปู้อี๋มองพวกเขาด้วยสายตาอันเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ทุกถ้อยทุกคำกังวานหนักแน่น
“ลี่ตี้ได้บัลลังก์โดยมิชอบ เป็นคนถ่อยที่ชิงอำนาจโดยอาศัยบารมีของสตรี! ผิดกับฝ่าบาทที่ทรงวางแผนสู้ศึกอย่างหาญกล้า ทหารแต่ละนาย ม้าแต่ละตัว เมืองแต่ละเมือง มณฑลแต่ละมณฑล กอปรขึ้นเป็นบ้านเมืองที่ต่อสู้มาด้วยเลือดเนื้อ! ลี่ตี้แอบอ้างคุณธรรมส่วนรวม เปลือกนอกเมตตาแท้จริงกระทำตรงข้าม ใช้งานคนโฉดสอพลอ ฉวยจังหวะชุลมุนจากการผลัดแผ่นดินถึงสี่รุ่น ก่อภัยพิบัติปล้นชิงบัลลังก์ ต่างจากฝ่าบาทที่ทรงพระปรีชาเฉกเจ้าเหนือหัวในยุคก่อน ยุติความโกลาหล ฟื้นฟูแผ่นดินของบรรพชน ปลดปวงประชาจากห้วงทุกข์…ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ที่แท้มีจุดใดคล้ายคลึงกับลี่ตี้ทรราชผู้นั้น พวกท่านจึงได้ยกมาเป็นอุทาหรณ์ส่งเดช!”
ผู้คนในโถงพลันถูกพลังของเขาสยบจนพูดจาไม่ออกไปพักใหญ่ จากนั้นขุนนางฝ่ายบุ๋นอีกผู้หนึ่งซึ่งดูอ่อนโยนหน่อยค่อยกล่าวเสียงอ่อยๆ “ผู้ที่พวกข้าทูลเตือนคือรัชทายาท หาใช่ฝ่าบาทไม่…”
“ผู้ที่เปรยถึงเรื่องรังวัดที่ดินคือฝ่าบาท มิใช่รัชทายาท! พวกท่านมีสิ่งใดจะถาม ก็ส่งหนังสือถึงราชสำนักได้อย่างเต็มที่ ไยต้องรบเร้าพัวพันรัชทายาทเล่า หรือว่าฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องรังวัดที่ดินแก่รัชทายาทแล้ว?! ฝ่าบาทเคยตรัสไม่ต่ำกว่าหนึ่งหนว่ารัชทายาทยังต้องหมั่นดูหมั่นเรียนอีกมาก พวกท่านถึงกับมีความคิดอ่านเหนือกว่าฝ่าบาท จึงได้บีบคั้นให้รัชทายาทยุ่งเกี่ยวราชกิจอยู่เช่นนี้!” หลิงปู้อี๋กล่าว
เฉิงเซ่าซางคิดในใจ…นี่ขนาดรัชทายาทยังไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอันใดเลย ก็มีพวกหลานเต่ามาพูดพล่ามเยี่ยงนี้แล้ว หากรัชทายาทได้เป็นผู้ดูแลหลักในเรื่องใดจริงๆ จะไม่จมน้ำตายด้วยละอองน้ำลายหรือไรกัน