เฉิงเซ่าซางบังเกิดความเลื่อมใส “มองไม่ออกเลยว่าองค์ชายห้าทรงคิดได้กระจ่างเพียงนี้ เช่นนั้นยามปกติไฉนยังวิ่งรอกก่อกวนให้ผู้อื่นนึกชังเล่า หนก่อนฝ่าบาทเสด็จบวงสรวงเทพเจ้าบนภูเขาถูเกา หม่อมฉันได้ยินว่าองค์ชายถึงกับพูดสอดแทรกเรื่องระหว่างองค์ชายรองกับองค์ชายสาม จึงถูกตีไปหนึ่งยก!”
องค์ชายห้ากล่าว “หากข้าไม่ป่วนให้เกิดเรื่องเกิดราวออกมาบ้าง เสด็จพ่อไม่แน่ว่ายังจะทรงจำข้าได้ หากพระองค์ทรงจำข้าไม่ได้ วันหน้าแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ปูนบำเหน็จจะมีของดีตกถึงข้าหรือ อีกอย่างข้าก่อเรื่องยิ่งโง่เขลา ยิ่งน่าขัน พี่น้องชายหญิงกลุ่มนั้นของข้าก็จะยิ่งวางใจ”
เฉิงเซ่าซางถามอย่างแปลกใจ “เหตุใดทรงบอกหม่อมฉันทุกอย่างเล่า”
องค์ชายห้าเหลือกตา “ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มป่วนหนแรกก็ถูกหลิงปู้อี๋มองทะลุปรุโปร่งแล้ว หนนั้นข้าเปิดโปงต่อเสด็จพ่อเรื่องที่เขาแอบหนีออกจากวัง เขาซ้อมข้าหนึ่งยก และก็พูดชมข้าหลายประโยค…โธ่ เจ้าเลิกพูดร่ำไรได้แล้ว ที่แท้จะถามเรื่องเล่าอันใดกันแน่!”
เฉิงเซ่าซางอึ้งงันไปวูบหนึ่งก่อนจะรีบกล่าว “ถูกต้องๆ หม่อมฉันจะถามองค์ชายเรื่อง…คือว่า…เรื่องรัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้นั่นหมายความเช่นไร แล้วก็รัชทายาทเว่ยกับเจียงชงเป็นผู้ใดกันอีก” แม้แต่องค์ชายสี่ที่ไม่ชอบอ่านตำรายังรู้เลย องค์ชายห้าน่าจะรู้สิ
องค์ชายห้าดวงตาลุกวาว “อ้อ เจ้าได้ยินเรื่องสารไม่รู้ที่มาที่ติดไปทั่วเมืองเมื่อวานแล้วสินะ จุๆๆ เห็นทีการเรียนของเจ้าก็ยังไปไม่ถึงไหน เพียงแต่เหตุใดเจ้า…”
เฉิงเซ่าซางถลกแขนเสื้อ เดินหน้าหนึ่งก้าว แล้วข่มขู่เสียงเบา “วาจาไร้แก่นสารทรงพูดให้น้อย ฮองเฮากับราชบัณฑิตเอกหม่อมฉันไม่สะดวกจะถาม ไจ๋เอ่าไม่รู้ ส่วนใต้เท้าหลิงทำงานอยู่ข้างนอก ตอนนี้หม่อมฉันต้องการจะรู้โดยด่วน ฉะนั้นทรงเล่ามาให้ไว!”
องค์ชายห้าผงะถอยไปหนึ่งก้าว ยืนมั่นคงแล้วค่อยกล่าวหน้าเจื่อน “ได้ๆ ข้าเล่า…เช่นนั้นข้าเล่ากระชับหน่อย เล่าโยงเยอะเจ้าก็ฟังไม่รู้เรื่องอีก”
“องค์ชายทรงชวนตีใช่หรือไม่”
“เจ้าเดินห่างไปหน่อย ข้าจะเล่าแล้ว…เซวียนฮ่องเต้คือฮ่องเต้องค์หนึ่งของราชวงศ์ก่อน เมตตาอารีรักราษฎร ตกรางวัลลงทัณฑ์อย่างเที่ยงธรรม เป็นประมุขแผ่นดินที่ปรีชาสามารถองค์หนึ่ง พระองค์กับฮองเฮาองค์แรกผูกพันกันลึกซึ้งยิ่ง ใครจะรู้ต่อมาฮองเฮาองค์แรกกลับถูกปองร้ายถึงแก่ชีวิต…”
“ชิ ผู้เป็นฮองเฮายังถูกปองร้ายเอาชีวิตได้ ฮ่องเต้องค์นี้ปรีชาสามารถไม่เท่าไรหรอก”
“เจ้าอย่าพูดแทรกสิ ตอนที่ฮองเฮาองค์แรกถูกปองร้าย เซวียนฮ่องเต้ยังไม่ได้ขึ้นกุมอำนาจนี่นา! เอาล่ะ พูดถึงที่ใดแล้ว…อ้อ ฮองเฮาองค์แรกจากไป แต่ยังเหลือบุตรชายอยู่ เขาไม่เพียงเป็นสายเลือดของฮองเฮา ยังเป็นบุตรชายคนโต เซวียนฮ่องเต้จึงแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท”
“อ๋อ เขาก็คือรัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้สินะ”
“มิผิด เซวียนฮ่องเต้หมายปกป้องรัชทายาท จึงจงใจแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ซึ่งไม่เป็นที่โปรดปรานและไร้บุตรชาย ทั้งยังหาบุคคลที่น่าเลื่อมใสจำนวนมากมาอบรมสั่งสอนรัชทายาท แม้ต่อมาเซวียนฮ่องเต้จะมีเจี๋ยอวี๋* ที่พระองค์โปรดปรานยิ่งยวดกับบุตรชายอีกคน แต่ตำแหน่งรัชทายาทก็ยังคงมั่นคงเรื่อยมา”
“เซวียนฮ่องเต้องค์นี้อุปนิสัยไม่เลวเลย”
“จริงอยู่ว่าอุปนิสัยไม่เลว แต่รัชทายาทของพระองค์ไม่ใช่ตัวเลือกชั้นเลิศสำหรับตำแหน่งว่าที่ประมุขแผ่นดินแต่อย่างใด เมื่อแรกท่านอาจารย์ที่สอนหนังสือให้พวกข้าเคยว่าไว้ รัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้อ่อนแอไม่เด็ดขาด ใจดีใจอ่อน ซ้ำเชื่อถือไว้ใจขันที ต่อมาขันทีข้างกายเขาทำร้ายขุนนางสำคัญของราชสำนักจนถึงแก่ความตาย เขาถึงกับไม่ลงโทษสถานหนัก ปล่อยเลยตามเลย อันที่จริงขณะเซวียนฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่ก็มองออกถึงจุดนี้แล้ว ทั้งเคยกล่าวว่า ‘รัชทายาทแยกแยะไม่กระจ่างระหว่างวิถีแห่งราชันผู้มีเมตตาธรรมกับวิถีแห่งผู้ถืออำนาจบาตรใหญ่ ไหนเลยจะมอบหน้าที่สำคัญในการปกครองบ้านเมืองแก่เขาได้’ รวมถึงกล่าวถ้อยคำอันรุนแรงอย่าง ‘ผู้ก่อความวุ่นวายแก่บ้านข้าก็คือรัชทายาทผู้นี้’ กระนั้นด้วยเห็นแก่น้ำใจไมตรีของฮองเฮาองค์แรก และสงสารรัชทายาทที่เสียมารดาไปตั้งแต่ยังเยาว์ สุดท้ายเซวียนฮ่องเต้จึงยังคงให้รัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ ขึ้นเป็นหยวนฮ่องเต้”
เอ่ยถ้อยคำยาวเหยียดนี้จบ องค์ชายห้าก็เหลือบมองสีหน้าเฉิงเซ่าซางพลางขยับไปยืนห่างนางอีกสองสามก้าว