ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 131
ฮองเฮาปลอบโยนเด็กสาวอีกหน “เอาเถิด เรื่องนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ประเดี๋ยวตอนที่ฝ่าบาทเสด็จมา เจ้าอย่าได้ทำปากยู่ ช่วงไม่กี่วันมานี้ฝ่าบาทเองก็ทรงอ่อนเพลียยิ่ง เจ้าเป็นเด็กดีหน่อย อย่าก่อเรื่องล่ะ!”
เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะรับอย่างจริงจัง
ยามที่ท่านลุงฮ่องเต้มาถึงตำหนักฉางชิว นางเป็นเด็กดีมากจริงๆ เสียด้วย ไม่เพียงงัดความสามารถพิเศษออกมา ปรุงอาหารชนิดใหม่ที่มีรสไม่จัดทว่ากลมกล่อมถูกปากหลายอย่าง ยังเล่าเรื่องขบขันในบ้านหลายเรื่องให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาฟังด้วย
“…เช่นนี้เองพี่ชีชีจึงถูกยกเป็นบุตรสาวของท่านลุงนางแล้ว ส่วนพี่รองของหม่อมฉันก็กำลังจะไปเป็นบุตรชายของสกุลวั่น ท่านลุงวั่นดีใจจนพูดกับทุกคนที่เจอว่า ‘ข้าก็มีบุตรชายนะ’ หนำซ้ำยังพาพี่รองไปหาความสำราญที่สำนักโคมเขียว ทันทีที่พี่ชีชีได้ยินเข้าก็รีบไปคาดคั้นถามท่านลุงวั่นว่า ‘พาเขยไปสถานที่เยี่ยงนั้นได้อย่างไรกัน’ ใครจะรู้ท่านลุงวั่นถึงกับไม่ไว้หน้าบุตรสาว บอกให้พี่ชีชีเป็นกุลสตรีอ่อนหวานเสียบ้าง อย่าเอาแต่คุมสามีทั้งวี่วัน พี่ชีชีโกรธจนสะบัดหน้าไปฟ้องท่านแม่หม่อมฉันเลยเพคะ”
ฮ่องเต้เอ่ยปนยิ้ม “บุตรสาวของวั่นซงไป่เรายังจำได้ สามารถฆ่าพยัคฆ์ควักเอาหัวใจ เก่งกาจมากทีเดียว!”
“ผู้ที่เก่งกาจยิ่งกว่าคือท่านแม่หม่อมฉัน” เฉิงเซ่าซางแสร้งทำท่าหวาดกลัว “พอท่านแม่รู้เรื่องก็เตรียมจะใช้กฎบ้านกับพี่รอง ท่านลุงวั่นสกัดไว้ไม่ยินยอม ทั้งพูดว่า ‘ถือสิทธิ์อะไรจะตีบุตรชายข้า’ ท่านแม่แย้งกลับทันใด ‘ตอนนี้ยังเป็นบุตรชายข้าอยู่ ข้ายังตีได้พอดี’ ต่อเมื่อเห็นพี่รองถูกกดตรึงบนโต๊ะจะถูกใช้กฎบ้านอยู่แล้วนั้น ไม่คาดท่านลุงวั่นถึงกับนั่งลงบนพื้นแล้วเกลือกกลิ้งไปมา คร่ำครวญหวนไห้ ‘ชะตาข้าอาภัพนัก วัยเด็กสูญเสียบิดา ครึ่งชีวิตไร้บุตรชาย บัดนี้ยังมีคนจะตีบุตรชายข้าอีก ใครก็ได้มาตัดสินให้ข้าที’ …”
นางเลียนแบบได้สมจริงยิ่ง ทำเอาฮ่องเต้กับฮองเฮาต่างหัวเราะจนตัวงอ
“แม่ทัพเฉิงเล่า เขาไม่มาดูแลสักหน่อยหรือ” ฮองเฮายิ้มถาม
เฉิงเซ่าซางทำปากแบน “ซ่อนตัวไม่เห็นร่องรอยตั้งแต่แรกแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ตบขาหัวเราะร่วน “ซ่อนตัวได้ดี! เปลี่ยนเป็นเรา เราก็ต้องไปซ่อนตัว!”
ฮองเฮาปาดน้ำตา “มารดาเจ้าทำได้ดี บุตรชายที่สู้เลี้ยงดูอย่างดีมาสิบกว่าปี ประพฤติตนอยู่ในกรอบเสมอมา ทันทีที่ยกให้ผู้อื่นไปก็จะต้องติดนิสัยแย่ๆ เยี่ยงนี้มาหรือ! วั่นซงไป่ผู้นี้นี่ ฮึ ต่อมาเป็นเช่นไรเล่า”
เฉิงเซ่าซางตอบ “ท่านลุงวั่นจัดโต๊ะตั้งกระถางธูป เชือดคอไก่ ให้สัตย์สาบานต่อฟ้าดิน จะไม่พาพี่รองไปกระทำเรื่องหนึ่งสองสามสี่ห้าเป็นอันขาด”
ฮ่องเต้ถามอย่างสงสัยใคร่จะรู้ “อันใดเรียกว่า ‘เรื่องหนึ่งสองสามสี่ห้า’ ”
“ท่านแม่บังคับให้ท่านลุงวั่นเขียนอักษรถี่ยิบเต็มหนึ่งผืนผ้าไหม บนนั้นแจกแจงข้อห้ามถึงสิบกว่าข้อ หม่อมฉันไม่ได้อ่านละเอียด สรุปคือ…ต่อไปท่านลุงวั่นนับเป็นผู้บำเพ็ญพรตไปครึ่งตัวแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้กับฮองเฮาพร้อมใจกันหัวเราะครืน
ภายหลังหัวเราะจบ ฮ่องเต้เห็นฮองเฮาอารมณ์ดียิ่ง จึงเอ่ยว่าจะให้รัชทายาทเป็นประธานในงานเทศกาลซั่งซื่อเดือนหน้าแทนพระองค์ ฮองเฮารู้ว่าฮ่องเต้รู้สึกผิดที่ลงโทษศิษย์ของหานชิงเบาเกินไป ตอนนี้กำลังหาโอกาสชดเชยให้นางกับบุตรชายอยู่ นางจึงไม่พูดเปิดโปงออกมา ทำเพียงคลี่ยิ้มขอบพระทัยอย่างอ่อนโยน พาให้ชั่วขณะนี้บรรยากาศในตำหนักกลมเกลียวอบอุ่นยิ่งนัก
เฉิงเซ่าซางเห็นอิริยาบถของฮ่องเต้กับฮองเฮาละมุนละไม บ่งชัดว่าต้องการจะทำอันใดนั้นกันแล้ว นางจึงรีบหลบออกมาในทันที ขบคิดเล็กน้อยก็ตัดสินใจว่าจะนำข่าวดีนี้ไปแจ้งรัชทายาทล่วงหน้า ให้เขาอย่าได้ห่อเหี่ยวใจ ฮ่องเต้ยังคงหนุนเขาอยู่มากนัก
มีแรงสนับสนุนจากลูกพี่ใหญ่ลำดับสูงสุดแล้ว ยังจะต้องการอันใดมากไปกว่านี้อีกเล่า
นางวิ่งรวดเดียวไปถึงตำหนักบูรพาอันเงียบเหงา โปรยเงินไปหนึ่งยกเช่นเคย นางกำนัลขันทีของตำหนักบูรพาก็แย้มยิ้มปริ่มใบหน้า ปล่อยนางเข้าสู่ตำหนักชั้นในไปอย่างราบรื่น ใครจะรู้กลับได้กลิ่นสุราอันเข้มข้นขุมหนึ่งตั้งแต่ไกล
ครั้นเร่งฝีเท้าเข้าไปดู เฉิงเซ่าซางก็ฉุนกึ้กจนจมูกแทบเหยเก…รัชทายาทเมามายจนตัวเอียงล้มพับกับโต๊ะแล้ว องค์ชายรองกลับยังเอาแต่คะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายดื่มสุรา ขณะเดียวกันในปากก็มีแต่คำพูดบั่นทอนจิตใจ อย่างเช่น ‘ขุนนางราชสำนักล้วนดูแคลนท่าน พูดลับหลังว่าท่านอ่อนปวกเปียกไร้ความสามารถ’ กับ ‘หาว่าท่านประพฤติไม่คู่ควรกับตำแหน่ง เสด็จพ่อแต่งตั้งท่านเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต’
เฉิงเซ่าซางสูดหายใจเข้าลึกๆ เหลียวมองรอบด้านไม่เห็นผู้อื่น จึงวิ่งเสริมแรงทิ้งน้ำหนักตัว ตวัดเพลงฝ่าเท้าไร้เงาใส่บั้นท้ายขององค์ชายรองไปหนึ่งที นึกว่าเมื่อก่อนนางตะลุยยุทธภพเสียเปล่าหรือไร!
องค์ชายรองไม่ทันตั้งตัวจึงทรุดแปะลงบนพื้นกระดานพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน ชี้นิ้วมาทางเฉิงเซ่าซางพลางเอ่ยเสียงสั่น “จะ…เจ้า…เจ้า…ถึงกับกล้าไร้มารยาทเยี่ยงนี้!” ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองค์ชายที่ได้รับการอบรมมาตามขนบดั้งเดิม กระทั่งในฝันก็ไม่เคยพบเคยเห็นสตรีท่าทางป่าเถื่อนเช่นเฉิงเซ่าซาง
“แล้วอย่างไร!” เฉิงเซ่าซางสองมือเท้าสะเอว “แน่จริงตอบโต้สิเพคะ!” นางชี้ใบหน้าตนเอง “ตบมาตรงนี้เลย ไม่ต้องเกรงใจ! ตบสิ ตบมาสิเพคะ” ขอเพียงองค์ชายบื้อผู้นี้กล้าลงมือ ข้าจะแบกรอยแผลปรี่ไปหาท่านลุงฮ่องเต้ ไม่ฟ้องร้องจนอีกฝ่ายกระอัก ถือว่าข้าขี้ขลาด!
ไม่รู้เป็นเพราะองค์ชายรองฉุกคิดถึงจุดนี้ หรือว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษหลงเหลืออยู่ สรุปคือเขาโกรธจนหน้าเปลี่ยนสีไปหลายตลบ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ลงไม้ลงมือ เพียงยืนขึ้นถามด้วยโทสะ “เจ้ามาตำหนักบูรพาทำอันใด!”
“แล้วองค์ชายเสด็จมาตำหนักบูรพาทำอันใดเล่า!” เฉิงเซ่าซางตอกกลับ “ฉวยจังหวะที่พระชายานอนพัก ทรงลอบออกมาอีกสิท่า!”
“ลอบออกมาอะไรกัน! ข้าจะมาก็มา จะไปก็ไป ใครจะควบคุมข้าได้!” องค์ชายรองใบหน้าเขียวปั้ด ถูกบรรยายเสียน่าเกลียดเยี่ยงนี้ ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ต้องไม่พอใจ “ข้าเป็นพี่น้องร่วมอุทรกับรัชทายาท จึงตั้งใจมาปลอบโยนเล็กๆ น้อยๆ!”
“พอเถิดองค์ชาย ใครบ้างไม่รู้เป้าประสงค์ของท่าน” ยากนักที่รอบด้านปลอดคน เฉิงเซ่าซางแผ่พลังอำนาจเปี่ยมล้น “ตั้งแต่ตำหนักฉางชิวถึงตำหนักบูรพา เลียบตามตรอกตำหนักไป หากหาตัวบ่าวที่คิดว่าองค์ชายมีไมตรีพี่น้องอันลึกล้ำต่อรัชทายาทได้แม้สักคนเดียว หม่อมฉันจะโขกศีรษะถวายดังๆ สามหน และจะเพิ่มขาหมูตุ๋นน้ำแดงของย่านชุนฟางที่โด่งดังทั่วหล้าให้อีกหนึ่งคู่เลยเพคะ!”
องค์ชายรองโกรธจนตัวสั่น “เจ้าๆๆ อย่าอาศัยว่าหลิงปู้อี๋มีอำนาจมีอิทธิพล ก็จะล้ำเส้นจาบจ้วงเบื้องสูงได้นะ ขะ…ข้าจะ…”
“องค์ชายรองทรงนึกว่าฝ่าบาทละเว้นคดีสารไม่รู้ที่มานั้นไปง่ายๆ เพราะไม่พอพระทัยรัชทายาทหรือ!” เฉิงเซ่าซางตัดสินใจจะทุบทำลายความคิดเพ้อฝันของคนเขลาผู้นี้ลงเสีย นับว่าได้สร้างคุณูปการต่อแคว้นต่อราษฎรอีกทางหนึ่ง “ผิดถนัด ฝ่าบาททรงเห็นแก่หน้าใต้เท้าหานผู้ล่วงลับ จึงไม่อยากลงโทษศิษย์ของเขาสถานหนักก็เท่านั้นเอง! เมื่อครู่ฝ่าบาทยังตรัสกับฮองเฮาอยู่ว่าทรงรักและให้ความสำคัญกับรัชทายาทอย่างยิ่งเช่นเดิม!”
นางไม่ได้เอ่ยเรื่องเทศกาลซั่งซื่อ การบอกรัชทายาทให้เขาดีใจล่วงหน้านั้นเป็นเรื่องหนึ่ง การบอกผู้อื่นก็เท่ากับแพร่งพรายความลับแล้ว
องค์ชายรองถูกยั่วโมโหจนหน้ามืดตาลาย กระนั้นก็ยังคงทำปากแข็ง “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก ข้าจะกลับจวนไปถามอาเหิง”
‘อาเหิง’ คือนามของชายาองค์ชายรอง