ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 131
เฉิงเซ่าซางมองส่งอีกฝ่ายออกจากตำหนักบูรพาไปในอาการสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ครั้นหันกลับมามองรัชทายาทที่ยังคงเมาพับไม่รู้เรื่องรู้ราว นางก็หมดอารมณ์จะสนทนา โบกปัดกลิ่นสุราตรงปลายจมูก ก่อนให้ข้ารับใช้เข้ามาปรนนิบัติรัชทายาทล้างเนื้อล้างตัวพักผ่อน
ครั้นออกมาจากตำหนักบูรพา นางรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งยิ่งขึ้น…รัชทายาทนอนใจไร้กังวลได้ ‘ชั่วคราว’ ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็รักใคร่สนิทสนมกัน ‘ดังเดิม’ แล้ว ‘น่าจะ’ ไม่มีเรื่องใหญ่อื่นอีกกระมัง แค่รอคอยหลิงปู้อี๋กลับมาเป็นอันใช้ได้!
ยามนี้ตำหนักบูรพามีกลิ่นสุราคลุ้งถึงชั้นฟ้า ส่วนตำหนักฉางชิวกำลังผุดฟองอากาศสีชมพู ชั่วขณะเด็กสาวพลันคิดไม่ออกว่าจะไปที่ใดดี จึงเดินเตร่อย่างไร้จุดหมาย เดินไปเรื่อยๆ จนถึงศาลาแปดเหลี่ยมหลังหนึ่ง เห็นด้านในมีคนผู้หนึ่งสวมชุดแพร มวยผมครอบเกี้ยวหยก รูปงามสง่า ร่างสูงระหง มิใช่หยวนเซิ่นจะเป็นผู้ใดอีกเล่า
เฉิงเซ่าซางชะงักกึก
หยวนเซิ่นเห็นนางแล้วเช่นกัน จึงคลี่ยิ้มเรียกนางเข้ามาในศาลา
เฉิงเซ่าซางเดินตรงไป “ท่านมาทำอันใดที่นี่”
หยวนเซิ่นชี้มือไปยังม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่วางอยู่บนม้านั่งหินในศาลา “ตามพระบัญชาของฝ่าบาท รอจนราชบัณฑิตเอกหลายท่านเรียบเรียงเสร็จให้ส่งไปยังตำหนักบูรพา ข้าอายุน้อยที่สุด จึงรับหน้าที่นำไปส่ง”
เฉิงเซ่าซางฉงน “เช่นนั้นท่านก็ควรไปตำหนักบูรพาสิ มายืนอยู่ตรงนี้ทำอันใด”
หยวนเซิ่นลังเลครู่เดียว เฉิงเซ่าซางก็เอ่ยต่อได้ทันที “อ้อ ข้ารู้แล้ว เมื่อครู่ท่านเห็นองค์ชายรองหิ้วไหสุราเข้าตำหนักบูรพา ท่านไม่อยากพบปะเขา ยิ่งไม่อยากถูกชวนร่วมดื่มสุรา จึงมาหลบอยู่ตรงนี้สินะ!”
หยวนเซิ่นยิ้มขื่น “ยามที่พึงแสร้งเขลาก็ต้องแสร้งเขลา เจ้าจะทำเป็นทึ่มทื่อสักหน่อยไม่ได้หรือไร”
เฉิงเซ่าซางยักไหล่ “ผู้ใดใช้ให้ข้าเกิดมาเฉลียวฉลาดเกินไปเล่า ช่วยไม่ได้นี่ เพียงแต่…” นางกระเถิบเข้าไปใกล้เขาอีกเล็กน้อย “ท่านว่าเป็นใครกันแน่ที่ลอบมุ่งร้ายต่อรัชทายาท นี่ก็ตั้งหลายต่อหลายเรื่องแล้ว”
ประกายริ้วหนึ่งวาบผ่านในดวงตาของหยวนเซิ่น เขายังคงสองจิตสองใจ ต่อเมื่อเห็นนัยน์ตาคู่โตของเด็กสาวบรรจุไปด้วยความคาดหวัง เขาก็พลันนึกถึงครั้งหนึ่งที่นางเคยตะโกนใส่เขาว่า ‘หลิงปู้อี๋ทั้งช่วยเหลือทั้งช่วยชีวิตข้าตั้งกี่หนแล้ว แต่ท่านนี่สิ เคยทำดีอันใดกับข้ากันแน่’ เขาตั้งสติเล็กน้อย ก่อนเริ่มอธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“เจ้ามักซักไซ้ว่าผู้ใดกำลังพุ่งเป้าไปที่รัชทายาท ทว่าหลิงจื่อเซิ่งหมายปลอบโยนเจ้า จึงมีหลายคำพูดไม่ได้บอกให้เจ้ารับรู้
ความจริง…ผู้ที่พุ่งเป้าไปที่รัชทายาทนั้นไม่ใช่คนคนเดียว และไม่ใช่วงศ์ตระกูลเดียว หากแต่เป็นความเข้าใจที่รู้กันเงียบๆ ระหว่างขุมกำลังหลายกลุ่ม อย่างเช่นซุนเซิ่งญาติผู้พี่ของชายารัชทายาท อันที่จริงผู้ที่หลอกล่อให้เขาละโมบกระทำผิดเป็นคนตระกูลหนึ่ง ผู้ที่สืบเบื้องหลังยึดกุมหลักฐานของเขาเป็นคนอีกตระกูล ส่วนผู้ที่วางหูตาไว้ข้างกายรัชทายาท สืบรู้ว่ารัชทายาทนัดพบชวีฮูหยินที่คฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วง นั่นเป็นคนตระกูลที่สามแล้ว
คนเหล่านั้นไม่มีแผนการที่แน่ชัดนัก เพียงกระทำตัวเช่นหนูที่กัดแทะไปทีละน้อยไม่หยุดหย่อน ผลัดกันขุดเจาะกำแพงล้อมตำหนักบูรพา เจ้าหนึ่งจอบ ข้าหนึ่งคราด ขอเพียงมีจังหวะอันเหมาะสม ก็จะทำให้รัชทายาทตกสู่ห้วงคับขันได้ทันที”
เฉิงเซ่าซางฟังจนทึ่มทื่อไปทันตา ข้อแรก…นางนึกไม่ถึงว่าวันนี้หยวนเซิ่นจะชี้แจงต่อนางอย่างละเอียด ข้อสอง…นางถูกความนัยที่แฝงอยู่เบื้องหลังถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ตะลึงค้างไปเสียแล้ว นางนึกถึงการโจมตีที่รัชทายาทถูกกระทำมาจนทุกวันนี้ คล้ายว่าทันทีที่มีโอกาสก็จะถูกตีกระหนาบทั้งสี่ทิศ
นางพูดอย่างร้อนรน “ขะ…ขะ…ข้ารู้ เมื่อแรกเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่าทำร้ายให้หลายคนในกลุ่มขุนนางเมืองจิ่งเซิงต้องตาย ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นเดือดเป็นแค้น…”
“ไม่ใช่เท่านี้หรอก” หยวนเซิ่นตัดบทนางเรียบๆ “คนที่มีความแค้นกับฝ่ายเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่าเหล่านี้กลับไม่น่าหวั่นเกรง ภัยแฝงที่แท้จริงคือบรรดาขุนนางสำคัญที่มือเปื้อนเลือดของคนสายเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่าต่างหาก”
เฉิงเซ่าซางร้องอ๊ะหนึ่งหน
หยวนเซิ่นกล่าวเสริม “เจ้านึกว่ามีแต่มือของเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่าหรือที่เปื้อนเลือด คนของเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่ากระจัดพลัดพราย ขุมกำลังสูญสลายไม่มีเหลือหลอ เจ้าว่าบุตรหลาน บุตรเขย กับบุตรบุญธรรมฝีมือดีตั้งมากมายของท่านอ๋องผู้เฒ่าล้วนหายไปที่ใดเสียแล้วเล่า ความรุ่งโรจน์อันงดงามปานบุปผาต้องใช้เลือดเนื้อราดรดหล่อเลี้ยงออกมา ฝ่าบาททรงมีฝีมือสูงส่ง เหล่าขุนนางสำคัญที่เป็นแขนขาของพระองค์ก็ไม่ยิ่งหย่อน ด้วยเหตุนี้ต่อให้รัชทายาทไม่เคยพูดจาแทนจวนเฉียนอันอ๋องแม้ครึ่งประโยค ทว่าเหล่าขุนนางสำคัญที่เคยกำจัดญาติของรัชทายาทจะวางใจลงได้หรือ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงชีวิตของพวกเขาทั้งตระกูลเชียวนะ”
เฉิงเซ่าซางค่อยๆ เข้าใจกระจ่างแล้ว นิ้วมือนางขยุ้มแขนเสื้อไว้แน่น
หยวนเซิ่นเพ่งมองดวงตานาง “ผู้อื่นยังไม่เอ่ยถึง ตอนนั้นคนที่ลงมือสังหารขุนศึกอันดับหนึ่งในสังกัดของท่านอ๋องผู้เฒ่า และเป็นบุตรเขยคนโตของท่านอ๋องด้วยนั้นก็คือญาติผู้น้องของอวี๋โหวนั่นเอง แม้ว่าเขาจะทำไปตามพระบัญชาของฝ่าบาทก็ตามที เจ้ารู้สึกว่าสกุลอวี๋ทั้งตระกูลจะคิดกับรัชทายาทเช่นไร”
เบื้องหน้าสายตาของเฉิงเซ่าซางปรากฏภาพแม่น้ำใหญ่หนึ่งสาย แรกเริ่มกึ่งกลางสายน้ำเพียงมีน้ำวนเล็กๆ หนึ่งวง ทว่าระหว่างที่กระแสน้ำไหลคดเคี้ยวไป ทุกหัวโค้งล้วนมีพลังผลักส่งไปยังน้ำวนวงนั้น จนท้ายที่สุดก่อเกิดเป็นน้ำวนขนาดยักษ์ที่กลืนกินทุกสิ่งได้
“ดังนั้น…พวกเขาจึงพูดโยงถึงเรื่องรัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้อันใดนั่น พูดให้ชัดก็คือต้องการจะให้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนตัวรัชทายาทสินะ!” นางเอ่ยอย่างฉุนเฉียว
หยวนเซิ่นคลี่ยิ้มน้อยๆ “หลิงจื่อเซิ่งก็สวนกลับอย่างฉับไวมิใช่หรือไร หึๆ คนเหล่านั้น ‘อวดตนเป็นขุนนางภักดี แท้ที่จริงกลับเป็นเจียงชง’ คารมเขาดีไม่หยอกจริงๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนฝ่าบาททรงวางตัวหลิงจื่อเซิ่งไว้ในตำหนักฉางชิว ไม่รู้ว่าทรงคิดมาถึงวันนี้ใช่หรือไม่”
“ใต้เท้าหลิง…ก็ทำงานตามพระประสงค์ของฝ่าบาทเช่นกัน” เฉิงเซ่าซางกล่าวเสียงเบา