ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย
ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 132
บทที่ 132
วันนั้นเฉิงเซ่าซางกับหยวนเซิ่นไม่ได้ปะทะคารมกันอย่างหาได้ยาก ทั้งยังกล่าวคำว่า ‘พบกันใหม่’ กันอย่างเกรงอกเกรงใจ นางมาคิดดูในภายหลัง นับว่าวันนั้นเป็นการเบิกฤกษ์ที่ดี เพราะถัดมานางกับเขาไม่เคยมี ‘บรรยากาศอันเอิกเกริก’ โต้ฝีปากกันทุกทีที่เจอหน้าอีก
ในวังกับราชสำนักกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยอีกครา ฮ่องเต้จัดการขุนนางระดับกลางที่พูดคุกคามกดดันรัชทายาทในวันนั้น ที่ก่นด่าก็ก่นด่า ที่ลดขั้นก็ลดขั้น อีกทั้งนอกจากงานพิธีวันเทศกาลซั่งซื่อในเดือนหน้าแล้ว พระองค์ยังให้รัชทายาทร่วมว่าราชการในท้องพระโรงด้วย
เพียงแต่ตามคำกล่าวของตัวรัชทายาทเอง เขาขออยู่ในตำหนักบูรพาอ่านตำราเขียนอักษร ยามว่างดื่มสุราค้างปีที่หวานหอมสักจอก วาดภาพดอกท้ออันนิ่งสงบสักภาพ ตกปลาริมทะเลสาบ ชมทิวทัศน์กลางขุนเขา ยังดีกว่ามาฟังคำกราบทูลที่บ้างคลุมเครือบ้างดุเดือดของบรรดาขุนนางราชสำนัก…ราวกับหมายจะยืนยันความน่าเชื่อถือของคำกล่าวนี้ รัชทายาทเพียงสะบัดหน้าก็มอบตราประทับกับป้ายคำสั่งประจำตำหนักบูรพาให้หลิงปู้อี๋ไปทั้งหมด
ฮองเฮาบอกว่า…นับวันรัชทายาทยิ่งคล้ายบิดาของนาง หรือก็คือนายท่านผู้เฒ่าเซวียนที่ด่วนล่วงลับไป
ในที่สุดเฉิงเซ่าซางก็ได้ยลโฉมของ ‘เทพเซียนเหยียน’ ผู้ลือนามมาช้านาน เขาอาวุโสกว่าท่านลุงฮ่องเต้ถึงยี่สิบสามสิบปี ยามนี้ผมเผ้าหนวดเคราล้วนขาวโพลนแล้ว ทว่าดวงหน้ายังคงแดงเปล่งปลั่งสดใส กิริยาวาจาเปี่ยมด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง สนุกสนานน่าเข้าใกล้ ผู้คนยุคนี้โดยทั่วไปอายุขัยไม่ยืนยาวนัก อย่างผู้เฒ่าเหยียนดาวอายุยืนที่แลเห็นสง่าราศีดุจเซียนตั้งแต่ปราดแรกนี้ ย่อมทำให้นางบังเกิดความนับถือเลื่อมใสโดยธรรมชาติ
ว่ากันว่าปีนั้นท่านลุงฮ่องเต้เพาะปลูกได้ผลดี จึงขายเสบียงเป็นค่าเล่าเรียน ได้รู้จักกับผู้เฒ่าเหยียนช่วงที่ดั้นด้นไปเล่าเรียนถึงเมืองหลวงของราชวงศ์ก่อน คนทั้งสองได้ชื่อว่าเป็นสหายเก่าร่วมสำนักศึกษา แท้จริงยังมีไมตรีเช่นศิษย์อาจารย์ด้วยครึ่งหนึ่ง
ยากนักได้พานพบกันอีกครา ท่านลุงฮ่องเต้ลูบหนังท้องท้วมๆ ของเทพเซียนเหยียนพลางขอร้องให้เขามาเป็นขุนนางในราชสำนักอีกเช่นเคย เทพเซียนเหยียนฟังจบก็บอกว่าจะต้องไปล้างหู* ท่านลุงฮ่องเต้จึงคว้าตัวเขาไว้แล้วต่อว่าเบาๆ “อย่าเอะอะก็เอาอย่างการกระทำของปราชญ์ยุคก่อนได้หรือไม่ ปราชญ์ผู้นั้นกินผลไม้ป่าดื่มน้ำลำธาร ส่วนท่านน่ะสุรา เนื้อสัตว์ ดนตรีเคยขาดอย่างใดบ้าง”
เทพเซียนเหยียนตอบอย่างมีอารมณ์ขันยิ่ง “ความจริงข้าผู้เฒ่ากำลังเยินยอว่าฝ่าบาททรงพระปรีชาเช่นเหยาตี้นะ”
เมื่อคำขอร้องไร้ผล ท่านลุงฮ่องเต้ก็ได้แต่เชื้อเชิญผู้เฒ่าเหยียนอยู่พำนักหลายๆ วัน มานอนชนเท้าสนทนากันข้ามคืน ปรากฏว่าขณะหลับผู้เฒ่าเหยียนยกต้นขาทับถูกท้องของท่านลุงฮ่องเต้ โหรหลวงจึงถวายรายงานอย่างเป็นเดือดเป็นแค้นว่าดาวอาคันตุกะข่มปะทะดาวกษัตริย์ ทำเอาท่านลุงฮ่องเต้ต้องนวดหน้าท้องไปพลางพูดแก้ต่างแทนผู้เฒ่าเหยียนอย่างจนใจไปพลาง ผิดกับผู้เฒ่าเหยียนที่ถือโอกาสคิดจะกล่าวอำลาอีก
ฮ่องเต้รีบคล้องแขนท่านผู้เฒ่าไว้ ก่อนทอดถอนใจ “ท่านได้เห็นจื่อเซิ่งแล้วหรือไม่ นี่ญาติรุ่นหลังเพียงหนึ่งเดียวของพี่ฮั่วชงเชียวนะ ชั่วดีอย่างไรท่านก็พำนักถึงเดือนหน้า รอเขาแต่งงานแล้วค่อยไปเถิด ท่านจำได้หรือไม่ ปีนั้นเราสองเจอโจรภูเขา หากมิใช่ท่านลุงของจื่อเซิ่งมาช่วยไว้ได้ทันกาล ท่านยังจะเป็นเทพเซียนอันใดได้ ต้องไปเป็นภูตผีแต่แรกแล้ว!”
เทพเซียนเหยียนถอนหายใจบ้าง “ข้าผู้เฒ่าบอกแต่ต้นแล้วชัดๆ เส้นทางสายนั้นไปไม่ได้ ทางเข้าภูเขาลาดต่ำ ยอดเขาเรียงซ้อนดุจหมอกบังตา ในทางภูมิลักษณ์เป็นลักษณะที่ไม่มงคลอย่างยิ่ง แต่ฝ่าบาทตรัสว่าทางใกล้ ดึงดันจะไปให้ได้ เฮ้อๆๆ เอาเถิด รอจนถึงเดือนหน้าก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ทุกสิ่งที่จำเป็นในพิธีแต่งงานของหลิงปู้อี๋ ท่านลุงฮ่องเต้ได้เริ่มตระเตรียมตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนนู่นแล้ว ทองหยกมุกมรกต เครื่องบวงสรวงไม้หอม สิ่งทอต่วนแพรหลากชนิดล้วนมีพร้อมครบครัน อีกทั้งนับแต่บุตรบุญธรรมหมั้นหมายเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน พระองค์ก็มีคำสั่งให้กองงานเย็บปักในวังเร่งตัดชุดมงคลเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงให้กรมพิธีการจัดงานแต่งโดยยึดตามหลักเกณฑ์ขององค์ชายด้วย
ใช่ว่าไม่มีขุนนางในราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ เพียงแต่ผู้ใดมีความเห็นแย้ง ท่านลุงฮ่องเต้ล้วนตอกกลับเสียทุกรายไป หากไม่ติติงอีกฝ่ายเรื่องแนวทางการใช้ชีวิต ก็เป็นต้องจับผิดปัญหาชู้สาว หรือไม่ก็หาว่าอีกฝ่ายเลือกกิน เป็นพฤติกรรมอันฟุ่มเฟือย จากนั้นมาทุกคนจึงพากันเงียบกริบ…ไหนๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด หลับตาไปข้างหนึ่งก็แล้วกัน
ทว่ายิ่งใกล้กำหนดแต่งงาน หลิงปู้อี๋กลับยิ่งเงียบขรึมกลัดกลุ้ม หากมิใช่งานยุ่งจนไม่เห็นเงา เขาก็จะมานั่งนิ่งอยู่ด้านข้าง ไม่พูดไม่จาครึ่งค่อนวัน มีหลายครั้งเฉิงเซ่าซางนอนพักกลางวันอยู่ในห้องที่ตำหนักฉางชิว ตื่นมาเห็นหลิงปู้อี๋นั่งอยู่ข้างกายนาง กำลังพิศมองนางอย่างเหม่อลอย แววตาของเขาคลุมเครือไม่แน่ชัด คล้ายทุกข์ตรม คล้ายห่วงหายากจะหักใจปล่อยมือ
เฉิงเซ่าซางอดไม่ได้ต้องถามเขาว่าเป็นอะไรไป หลิงปู้อี๋ตอบนางอย่างยากลำบาก “คนที่ส่งไปเสาะหาบริวารเก่าของท่านลุงจนบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา ไม่แน่ว่า…จะต้องพบกับความว่างเปล่าอีกครั้งแล้ว”
นางรู้ว่านี่เป็นเงื่อนปมในใจเขาจึงกล่าวปลอบโยน “หากพวกเขาล้วนไม่อยู่บนโลกแล้วจริงๆ เช่นนั้นดวงวิญญาณอันหาญกล้าย่อมจะมุ่งไปสู่ภพภูมิใหม่ ไม่แน่อาจมาเกิดในครอบครัวที่มั่งมีสุขสงบแล้วก็เป็นได้ พวกเราพยายามให้เต็มที่ แล้วฟังลิขิตฟ้าเถิด”
หลิงปู้อี๋สั่นศีรษะ นิ่งเงียบไปอีกพักหนึ่งค่อยเอ่ยปาก “สุขภาพท่านแม่ก็ไม่สู้ดีเลย…”
นางถอนหายใจ นี่สิเรื่องที่น่าวิตกอย่างแท้จริง ช่วงเวลาที่ฮั่วจวินหวาสติรางเลือนมีมากขึ้นทุกที วันทั้งวันชุยโย่วหลั่งน้ำตาอาบหน้า ตัวนางเองหมายช่วยดูแลเรื่องหยูกยา เดี๋ยวนี้จึงแทบกลายเป็นว่าอยู่ในวังหนึ่งวัน จะต้องไปอยู่ที่เรือนดอกซิ่งสองวัน ในฐานะ ‘หลานสะใภ้ที่ชอบมาขอเงิน’ การดูแลอย่างรอบคอบกระตือรือร้นของนางถึงกับได้รับคำชมเชยจากฮั่วจวินหวาหลายหน
นางกล่าว “เข้าสู่ฤดูวสันต์แล้ว ไอหนาวยังคงรุนแรงอยู่บ้าง รอจนเดือนหน้าอากาศอบอุ่นดอกไม้ผลิบาน ไม่แน่สุขภาพของฮั่วฮูหยินอาจจะหายดีแล้ว”
หลิงปู้อี๋ผงกศีรษะรับ ทว่ารอยกลัดกลุ้มในดวงตาไม่ต่างจากไอหมอกกลางหุบเขาต้นฤดูวสันต์ หนาทึบเสียจนทำอย่างไรก็ไม่สลาย