บทที่ 133
ผู้ไปแจ้งข่าวในเมืองหลวงยังไม่กลับมา โถงตั้งศพก็จัดเสร็จสิ้น
ชุยโย่วร่ำไห้จนสลบไปหลายครา เฉิงเซ่าซางจึงให้หมอหลวงเคี่ยวยาสงบจิตฤทธิ์แรงมาหนึ่งชาม แล้วกล่อมให้ชุยโย่วที่ร่ำไห้จนวิงเวียนตาพร่าลายดื่มลงไป โดยบอกเพียงว่านี่เป็นยาบำรุงทำให้กระปรี้กระเปร่า เช่นนี้เขาจึงจะรวบรวมเรี่ยวแรงมาจัดการงานศพของฮั่วฮูหยินได้
นางฝากฝังชุยโย่วที่หลับลึกแล้วให้บ่าวดูแล ค่อยออกไปยังโถงตั้งศพอันเงียบสงัด
หลิงปู้อี๋สั่งให้คนทั้งหมดถอยออกไปแต่แรก ตนเองคุกเข่าเดียวดายอยู่เบื้องหน้าป้ายสถิตดวงวิญญาณในโถงที่โล่งว่างไร้ผู้คน สันหลังตั้งตรงดุจกระบี่ บ่าไหล่ผายกว้างดั่งทิวเขา เฉิงเซ่าซางพลันรู้สึกดวงตาเจ็บแปลบอยู่บ้าง…ไม่ว่าเผชิญเคราะห์ภัยหรือเหตุพลิกผัน ไม่ว่าโศกเศร้าหรือทุกข์ยาก หลิงปู้อี๋ล้วนเงียบงันเฉกห้วงสมุทรอันไร้ขอบเขต ไม่แปรผันชั่วกาลปานภูผาสูงตระหง่าน ชวนให้ผู้ที่อยู่ข้างกายวางใจหาใดเปรียบ
ทว่าในใจเขาที่แท้คิดอันใดอยู่ เกรงว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้
หลิงปู้อี๋เหลียวหลังมา ดวงหน้าเผือดขาว ขนตาราวขนนกยาว ในดวงตาแฝงซึ่งความเปราะบางว่างเปล่าอันแปลกพิเศษชนิดหนึ่ง
เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ ดุจเดียวกับที่เคยเป็นมานับครั้งไม่ถ้วน “เซ่าซาง เจ้าจะมาเกลี้ยกล่อมข้าหรือ ไม่ต้องหรอก ข้าล้วนเข้าใจดี เกิดแก่เจ็บตายจะอย่างไรก็ยากหลีกพ้น คนเราเกิดมาหนึ่งชาติ ต้นหญ้างอกเงยหนึ่งวสันต์ ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา ต่อให้สนิทแน่นแฟ้นสักเพียงใด ต่อให้หักใจไม่ลงสักเพียงไร ก็ย่อมมีเวลาที่ต้องแยกจาก”
เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าคำพูดของเขาดูแปลกพิกลอยู่บ้าง จึงกล่าวว่า “ต่อให้จากเป็นจากตายยากหลีกพ้น แต่ขอเพียงในใจยังคะนึงถึง ไม่ว่าจะเป็นยมโลกหรือห่างออกไปนับพันหลี่ แก่นแท้ล้วนจะไม่เปลี่ยนไป ใจคนผันแปรง่าย ขณะเดียวกันใจคนก็ผันแปรยาก ขอเพียงใจเราไม่ยอมเปลี่ยน ต่อให้ผืนสมุทรกลายเป็นท้องทุ่ง หรืออวิ๋นเมิ่ง* แปรสภาพ จะทำอย่างไรเราได้เล่า!”
หลิงปู้อี๋ตะลึงงันไปเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ”
เฉิงเซ่าซางเอ่ยปนยิ้ม “หรือท่านไม่เคยได้ยินเรื่องจิงเว่ยถมทะเล** ปู่โง่ย้ายภูเขา? เจอเข้ากับผู้ที่ยึดมั่นดื้อรั้นจริงๆ ต่อให้เทพเซียนมาเองก็ป่วยการเปล่า!”
หลิงปู้อี๋พิศมองนางครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เจ้ากับข้ามากัดแขนสาบานกันดีหรือไม่”
อะไรนะ เฉิงเซ่าซางผงะถอยสองก้าว นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
คนยุคนี้ให้ความสำคัญกับคำสาบานมาก พิธีการให้คำสาบานมักต้องมีเลือดให้เห็น อย่างเช่นคำสาบานจะกล่อมเกลากายใจที่ท่านลุงวั่นให้ไว้กับหัวหน้าเซียวเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ก็เชือดไก่เพศผู้ตัวใหญ่ขนสีขาวเจ็ดตัวในรวดเดียว ลานหน้าโถงเก้าอาชาถูกเลือดไก่สาดกระจายจนทั่ว ชิงชงฮูหยินนำพาพวกบ่าวสาละวนวุ่นวายอยู่หลายวันกว่าจะขจัดกลิ่นคาวโลหิตได้
เพียงแต่เลือดสัตว์มีหรือจะสูงค่าเท่าเลือดมนุษย์ ดังนั้นส่วนใหญ่เหล่าผู้กล้าจึงมักกัดปลายนิ้วเป็นแผลเพื่อให้สัตย์สาบาน…ในเมื่อนิ้วมือยากจะพ้นเคราะห์ แขนก็รอดไปได้ไม่ไกลหรอก
“คือว่า…เชือดไก่เชือดเป็ดก็พอแล้ว ไม่ต้องกัดแขนสาบานกระมัง” เฉิงเซ่าซางไม่กลัวที่จะลั่นคำสาบาน ทว่านางกลัวเจ็บ
หลิงปู้อี๋ไม่แยแสคำประท้วงของนาง ดึงนางมาคุกเข่าข้างกายเขาอย่างอ่อนโยนทว่าก็ดื้อดึง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ต่อหน้าท่านแม่ เจ้าพูดสิว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจจากข้าชั่วนิรันดร์”
เฉิงเซ่าซางเอนกายไปด้านหลังเล็กน้อยอย่างตื่นตัว “ท่านอย่ามาเอาเปรียบกันนะ ข้าพูดได้แค่ว่า ‘หากใจท่านไม่เปลี่ยนผัน ใจข้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง’ ”
หลิงปู้อี๋คลี่ยิ้ม ในรอยยิ้มนั้นถึงกับเจืออารมณ์เศร้าอยู่บ้าง “ได้ เจ้าพูดตามนั้นแล้วกัน”
สุ้มเสียงของเขานุ่มนวลเช่นที่เคยเป็น นางสุดจะคัดค้านได้ไหว ทำได้เพียงให้คำสาบานเบื้องหน้าป้ายสถิตดวงวิญญาณของฮั่วจวินหวาอย่างเคารพนบนอบ “ต่อหน้าดวงวิญญาณผู้อาวุโส ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงเป็นพยาน ผู้เยาว์เฉิงเซ่าซางขอให้สัตย์สาบาน ณ ที่นี้ หาก…หากว่า…” นางปรายมองเขาปราดหนึ่ง “หากว่าใจเขาไม่เปลี่ยนผันจากข้า ใจข้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลงจากเขาเป็นอันขาด”
ถัดจากนั้นหลิงปู้อี๋ก็เลิกแขนเสื้อนางขึ้น กัดหนึ่งคำบนเรียวแขนขาวนิ่มของนางอย่างไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย นางขดกลัวตัวสั่นราวเผชิญกับหมอฟัน ได้แต่ตีแผ่นหลังของเขาไม่หยุดมือ ยามที่เห็นแขนตนปรากฏรอยฟันผุดหยดเลือด ความหวังเล็กๆ ที่คิดว่าอาจโชคดีรอดพ้นความเจ็บ จากแรกเริ่มคิดว่าไม่น่าเจ็บมากกลายเป็นการประเมินผิดพลาดอย่างร้ายแรง ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยวทันตา นางไม่รอช้ารวบรวมพลังสุดแรงเกิด กัดใส่แขนที่มีมัดกล้ามแกร่งกระชับของเขาจนปรากฏร่องรอยที่มีเลือดซึมสองแนวเช่นเดียวกัน