เฉิงเซ่าซางย่อเข่าคำนับบิดามารดา แล้วเอ่ยด้วยความเคารพ “เชิญท่านพ่อท่านแม่ไปพักผ่อนก่อนเถิด คาดว่าในเมืองหลวงจะไม่มีเรื่องใดหรอก กระนั้นเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ยังคงขอให้ท่านแม่กวดขันเวรยามเฝ้าประตูให้ดี ลูกขอตัวก่อน ลูกไป…ไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับเจ้าค่ะ”
เซียวฮูหยินสืบเท้าขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว พร้อมกับตวาดเสียงเฉียบขาด “เจ้าห้ามออกไปนะ! หากหลิงจื่อเซิ่งมีบางอย่างไม่สู้ดี เจ้าส่งคนไปแจ้งในวังก็ได้ ไยต้องออกไปเองด้วย! เจ้ายังคิดจะออกไปนอกเมืองเชียวหรือ ถ้าหากเป็นอะไรไปจะทำเช่นไร อีกอย่างเจ้าก็ออกจากประตูเมืองไม่ได้อยู่ดี!”
ฝีเท้าของเฉิงเซ่าซางหยุดชะงัก หันกลับมามองผู้เป็นมารดา ก่อนเอ่ยเน้นทีละคำ “ท่านแม่วางใจได้ สิ่งที่ควรทูลแจ้ง ลูกได้ทูลแจ้งเป็นที่เรียบร้อย ทว่าคืนนี้ลูกยังคงต้องออกไป ท่านขวางลูกไม่ได้หรอก”
เซียวฮูหยินขยี้เท้าอย่างฉุนขาด ตะโกนสั่งเสียงก้อง “ใครอยู่บ้าง! จงจับตัวคุณหนูไว้…”
ตอนนี้เองประตูใหญ่จวนสกุลเฉิงซึ่งเดิมทีเปิดออกครึ่งหนึ่งแล้วพลันถูกกระแทกเปิดอย่างหนักหน่วง จากนั้นองครักษ์เกราะทองห่มผ้าคลุมซึ่งปักตราสัญลักษณ์ตำหนักฉางชิวกลุ่มหนึ่งก็เป็นเช่นกระแสน้ำไหลบ่าเข้ามาในจวนสกุลเฉิง หัวหน้าหนุ่มซึ่งอยู่หน้าสุดและมีหงส์คู่สยายปีกอยู่บนหมวกเกราะทองผู้นั้นคุกเข่าข้างหนึ่งเบื้องหน้าเฉิงเซ่าซาง ก่อนประสานมือกล่าว “ข้าน้อยรุดมาตามคำสั่ง น้อมฟังแม่นางเฉิงใช้สอยขอรับ”
เฉิงเซ่าซางถูกโอบล้อมอยู่ท่ามกลางองครักษ์หลวง นางเดินเข้าไปใกล้เซียวฮูหยินก้าวหนึ่งช้าๆ เอ่ยด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย “ฮองเฮาทรงมอบป้ายคำสั่งต่างๆ แก่ลูกแต่แรกแล้ว ไม่เพียงสามารถเข้าประตูวังยามวิกาล ผ่านทุกแห่งโดยไร้อุปสรรค ยังบัญชาองครักษ์ตำหนักฉางชิวได้…เพียงแต่ลูกไม่เคยใช้งานมาก่อน และไม่มีใครอื่นล่วงรู้” นี่เป็นอำนาจที่ฮองเฮามีนับแต่สำเร็จราชการช่วงที่ฮ่องเต้ออกรบสร้างแคว้น
บรรดาบ่าวชายสกุลเฉิงซึ่งเดิมกำลังจะตรงไปจับตัวคุณหนูล้วนหยุดฝีเท้าไม่เดินหน้า พากันหันหลังมา ใช้สายตาขอความเห็นจากผู้เป็นนายหญิง
เซียวฮูหยินมือเท้าเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง แผดตะโกนอย่างเสียอาการ “เหนียวเหนี่ยวอย่าไปนะ! มีเรื่องใหญ่อะไรย่อมจะมีฮ่องเต้กับฮองเฮาเป็นผู้ตัดสินใจเอง เจ้า…เจ้า…”
เฉิงเซ่าซางเงยหน้ามองไปทางมารดาบังเกิดเกล้า เห็นหญิงงามผู้ซึ่งแต่งกายสะอาดเรียบร้อยพิถีพิถันเสมอมา บัดนี้ถึงกับมีสีหน้าว้าวุ่น กิริยาลนลาน ในใจเด็กสาวก็ให้เศร้าหมอง กระนั้นกลับยังคงเชิดปลายคางขึ้นสูง เอ่ยอย่างทระนง “ท่านแม่ ท่านไม่รู้สึกว่าตนเองดูแลข้าสายไปหรือ เมื่อแรกท่านไม่ได้ดูแลข้า ตอนนี้…ท่านก็ไม่อาจดูแลข้าแล้ว…พวกเราไป!”
เฉิงสื่อโกรธจนกระทืบเท้า แต่กลับทำได้เพียงประคองภรรยาที่เนื้อตัวสั่นเทิ้มไว้ เบิกตามองบุตรสาวออกจากประตูใหญ่ไปกับองครักษ์เกราะทอง ภายหลังคลื่นโทสะซัดผ่าน เขายังคงจัดทหารประจำจวนครึ่งหนึ่งกับองครักษ์หญิงสี่นางให้ไล่หลังติดตามบุตรสาวไป
ขณะจะออกจากประตูเมือง แววตาที่นายกองผู้เฝ้าประตูมองมาทางเฉิงเซ่าซางนั้นทั้งประหลาดใจทั้งตื่นตัว เพียงแต่ยังดีที่นางจะออกจากเมือง ไม่ใช่จะนำกำลังพลอาวุธครบมือหนึ่งหน่วยเข้าเมืองมา นายกองผู้นั้นจึงยังคงเปิดทางให้ตามคำสั่ง
เจ้าม้าน้อยลายโคนมบัดนี้ตัวใหญ่ขายาว วิ่งได้ไวปานสายลมแล้ว ไม่มีรูปลักษณ์อันอุ้ยอ้ายใสซื่อเช่นกาลก่อนอีก เฉิงเซ่าซางนั่งอยู่บนอานม้า ข้างหูคือสายลมหนาวต้นฤดูวสันต์ดังอื้ออึง รอบกายคือทหารกับองครักษ์หญิงคนสนิทที่ท่านพ่อเฉิงสั่งให้ไล่ตามมา ยังมีกลุ่มองครักษ์ของฮองเฮาซึ่งย่ำเกือกม้าดังครืนครั่น…เมื่อก่อนเสียงอันคุ้นเคยนี้มักทำให้นางสบายใจ เพราะนางรู้ว่าไม่ว่าตนจะเผชิญกับสิ่งใด จะมีคนผู้หนึ่งนำทัพลงจากฟ้ามาช่วยนาง ทำให้นางรอดพ้นภยันตรายได้เสมอ
ทว่ายามนี้เล่า…ถึงอย่างไรนางก็จะต้องไปถามให้ชัดแจ้งด้วยปากของนางเอง ถือว่าให้คำอธิบายกับชีวิตที่โชคร้ายอีกเช่นเคยของตน
ตัวกลัดเงินที่คล้องยึดเสื้อคลุมอยู่กระทบกันตรงหน้าอก บังเกิดเสียงติงๆ กังวานใส เรียกให้เฉิงเซ่าซางดึงสติคืนมา แลเห็นด้านหน้าปรากฏดวงไฟวับแวมเคลื่อนที่บรรจบกันเป็นเส้นยาวสองสาย ราวงูอัคคีลากเลื้อย ประสานกับเสียงเกือกม้าที่ดังครืนครั่นเช่นเดียวกัน พาดผ่านที่ราบอันโล่งกว้างหนาวเย็นมาอย่างรวดเร็ว
เฉิงเซ่าซางแสดงท่าที หัวหน้าองครักษ์ก็รีบสั่งการ ส่งผู้ใต้บัญชาเร่งควบม้าขึ้นหน้าไปชั่วระยะหนึ่งแล้วตะโกนก้อง “พวกข้าคือองครักษ์ตำหนักฉางชิว พวกเจ้าเป็นผู้ใด ไฉนห้อม้าอยู่นอกเมืองยามวิกาล!”
ในกองทัพฝั่งตรงข้ามมีทหารม้าสองนายเร่งควบนำออกมา ก่อนตอบกลับเสียงดัง “พวกข้าคือทหารประจำช่องเขาฉือซู่ รับคำสั่งโยกย้ายไปยังหน่วยเจินหยาง!”
องครักษ์ถามจบก็กลับเข้ามาในขบวน เฉิงเซ่าซางให้หัวหน้าองครักษ์สั่งคนทั้งหมดเร่งควบม้าต่อ ใครจะรู้ไม่ทันไรก็พบทหารอีกกองหนึ่ง สอบถามได้ความว่าพวกเขามาจากค่ายภูเขาเป่ยเซิ่ง รับคำสั่งโยกย้ายไปยังอุทยานหลวงนอกเมืองทิศตะวันตก