เดินทางมุ่งหน้าต่อไปเช่นนี้ กลุ่มของเฉิงเซ่าซางถึงกับพบทหารที่เดินทัพยามราตรีอีกสองกอง ในจำนวนนั้นมีกองหนึ่งคือทหารหน่วยเจินหยางที่ถูกสั่งโยกย้ายไปยังจุดอื่น ครานี้แม้แต่หัวหน้าองครักษ์ยังรู้สึกแปลกใจแล้ว เขาชะลอฝีเท้าม้าก่อนถามเลียบเคียง “ขอบังอาจเรียนถามแม่นางเฉิง ไฉนคืนนี้จึงมีคำสั่งโยกย้ายทหารมากเพียงนี้ได้”
เฉิงเซ่าซางย้อนถาม “ตามความเห็นของท่านนายกอง คำสั่งโยกย้ายเหล่านี้น่าจะบ่งชี้ถึงเรื่องใดเล่า”
หัวหน้าองครักษ์เกาศีรษะ “สถานที่หลายแห่งนี้ล้วนเป็นค่ายทหารขนาดเล็ก จำนวนคนมากหน่อยเรือนพัน จำนวนคนน้อยหน่อยมีเพียงสามถึงห้าร้อยนาย เมื่อครู่ฟังดูก็มิใช่โยกย้ายไปรวมพลที่จุดเดียว หากแต่เป็นตะวันออกมาตะวันตกไป สลับตำแหน่งกันเองเท่านั้น ข้าน้อยมองไม่ออกจริงๆ ว่ามีจุดประสงค์ใด”
มุมปากเฉิงเซ่าซางยกยิ้มเย็น “ไม่มีจุดประสงค์ก็เป็นจุดประสงค์อย่างหนึ่ง”
หัวหน้าองครักษ์กังขา “เช่นนั้นพวกเรา…ยังไปต่อหรือไม่ขอรับ”
เฉิงเซ่าซางโบกมืออย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ต้องสนใจคนเหล่านั้น พวกเรารุดเดินทางต่อ คฤหาสน์สกุลหลิงยังอีกไกลเท่าใด”
หัวหน้าองครักษ์ไม่กล้าดูแคลนเด็กสาวตรงหน้า นางแม้อายุน้อย อีกทั้งเป็นสตรี ทว่าบนร่างกลับแฝงซึ่งพลังอันกล้าแกร่งเฉียบขาด เขาประเมินชั่วครู่ก่อนตอบ “ใกล้แล้ว อีกครึ่งชั่วยามขอรับ”
กระดอนอยู่บนหลังม้ารวมตั้งแต่ต้นเกือบหนึ่งชั่วยามครึ่ง เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่ากระดูกเส้นเอ็นร้าวระบมไปทั้งร่าง ประหนึ่งถูกบีบอัดผ่านช่องคลอดของมารดาออกมาเยือนโลกอันแปลกหน้าอันตรายใบนี้ใหม่อีกครั้ง ทว่านางฝืนข่มทนไว้ไม่เปล่งเสียง…ฉะนั้นที่คนเรามาเกิดบนโลกก็เพื่อจะแบกรับความทุกข์ทรมานกับการหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเยี่ยงนี้น่ะหรือ เช่นนั้นไยจะต้องเปลืองแรงผ่านชีวิตบนโลกนี้รอบหนึ่งด้วย
เพียงชั่วขณะเดียวน้ำตาก็รื้นเปื้อนขนตา นางปาดเช็ดมันออกเงียบๆ
ทอดตามองไกลไปยังคฤหาสน์สกุลหลิงซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขา ตรงนั้นได้แปรสภาพเป็นทะเลเพลิงหนึ่งผืน แทรกปนด้วยเสียงร้องโหยหวนกับเสียงตวาดด่าทอ กลางราตรีอันมืดมิดแสงอัคคีลุกโชนยิ่งจับตาเป็นพิเศษ บางส่วนนั้นเป็นเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้หมู่เรือน ท่ามกลางลมหนาวกรูเกรียวไฟยิ่งลุกโหมรุนแรง อีกส่วนที่มากยิ่งกว่าคือหมู่คบไฟซึ่งชูสูงอยู่ในมือทหารและคลุ้งกลิ่นคาวโลหิตอันเข้มข้น กลุ่มแสงเหล่านั้นปิดล้อมคนสกุลหลิงอยู่ภายในเป็นชั้นๆ ดุจทะเลดาวที่อันตรายไพศาลไร้ขอบเขต
เหล่าองครักษ์ที่ขี่ม้าอยู่รายรอบเฉิงเซ่าซางต่างตกตะลึง พากันถามด้วยความประหลาดใจ…
“นี่มันอะไรกัน”
“ใครกันกล้าบังอาจเยี่ยงนี้ ถึงกับบุกฆ่าล้างคฤหาสน์ของท่านโหวที่ราชสำนักแต่งตั้ง”
“ดูท่าทางไม่เหมือนโจรผู้ร้าย กลับคล้ายทหารของราชสำนัก”
“โอ๊ะ หรือว่าสกุลหลิงก่อกบฏ ราชสำนักจึงส่งทหารมาล้อมปราบ”
“แล้วพวกเราจะช่วยหรือไม่ช่วยเล่า”
ในกลุ่มคนมีเพียงเฉิงเซ่าซางที่ใบหน้าไร้ความรู้สึก นางขี่ม้าลงไปตามเนินเขาอย่างเยือกเย็นเช่นปกติ
พลทหารที่โอบล้อมคฤหาสน์อยู่แลเห็นคนอีกกลุ่มขี่ม้าตรงมาก็รีบขึ้นหน้าไปสกัดขวาง เฉิงเซ่าซางให้เหล่าองครักษ์หลีกทาง ตนเองขี่ม้าเดินหน้าไปแล้วเอ่ยตรงๆ ทันที “พวกเจ้าเป็นผู้ใดนำทัพ จางซั่น หรือว่าหลี่ซือ หรือเป็นพี่น้องสกุลเหลียงชิว”
พลทหารเหล่านี้เป็นทหารส่วนตัวของหลิงปู้อี๋ พอเห็นหน้าเฉิงเซ่าซาง พวกเขาก็ทึ่มทื่ออยู่กับที่…โชคดีที่หนึ่งปีมานี้นางอยู่กับหลิงปู้อี๋ดุจเงาตามตัว เข้าออกพร้อมกัน ผู้ที่เคยเห็นหน้าเห็นตาของนางหาใช่คนสองคนเสียเมื่อไร
“พวกเจ้าไม่ต้องลำบากใจ ข้าเพียงนำองครักษ์ตำหนักฉางชิวมาไม่กี่สิบคนกับทหารจวนสกุลเฉิงส่วนหนึ่ง ขัดขวางงานอันใดของพวกเจ้าไม่ได้หรอก” เฉิงเซ่าซางกล่าวเรียบๆ “เจ้าส่งคนพาข้าไปหาหลิงปู้อี๋ก็พอ องครักษ์กับทหารเหล่านี้จะคอยอยู่ที่รอบนอก”
หัวหน้าองครักษ์เคร่งเครียด “แม่นางเฉิง จะให้ท่านเข้าไปผู้เดียวได้อย่างไร! หากฮองเฮาทรงทราบก็จะไม่ละเว้นพวกข้าเช่นกัน!”
เฉิงเซ่าซางโบกมือยับยั้งไม่ให้อีกฝ่ายพูดต่อ “ข้าจะไม่เกิดเรื่องแน่ ฮองเฮาทรงทราบอุปนิสัยของข้า จะไม่ตำหนิท่านนายกองกับพวกหรอก”
เหล่าพลทหารของหลิงปู้อี๋หารือกันเบาๆ สองสามประโยค ก็ตัดสินใจจะพาเฉิงเซ่าซางเข้าไป…ทั่วเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าหลิงปู้อี๋กับว่าที่ภรรยารักใคร่กันลึกซึ้ง ผูกพันยากแยกจาก หากผู้ใดล่วงเกินแม่นางสี่เฉิง ผู้นั้นจะเดือดร้อนยิ่งกว่าล่วงเกินตัวหลิงปู้อี๋เองเสียอีก
เฉิงเซ่าซางปลดสายบังเหียนลงจากม้า ทิ้งหน่วยองครักษ์ของฮองเฮากับทหารจวนสกุลเฉิงไว้ เพียงพาองครักษ์หญิงสี่นางเดินมุ่งสู่ด้านใน